ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่รุนแรงของผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ ที่นอกเหนือพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาสร้างจุดขายแล้ว ยังต้องเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อสร้างรายได้และผลกำไรให้ได้มากที่สุด โดยในส่วนของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน)หรือPF ถือเป็นบริษัทอสังหาฯที่พัฒนาโครงการมาร่วม 33 ปี มีโครงการขงPF และบริษัทในเครือพัฒนาครบทุกเซกเมนต์ และถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ประการเพียงไม่กี่รายที่มีแลนด์แบงก์สะสมเป็นจำนวนมาก ซึ่ง “ชายนิด อรรถญาณสกุล”ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีสายสัมพันธ์ที่ดีกบหลายภาคส่วน จึงสามารถซื้อที่ดินตุนพัฒนาได้มาก แม้ว่าบางช่วงจะประสบปัญหา ล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็สามารถนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาตัดขายสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งระดับ”ชายนิด”แล้วเขามีโปรเจกต์ที่อยากทำอยู่ในหัวมากมาย แต่ทุกอย่างต้องรอจังหวะและโอกาส และในปี2561 นี้จะเป็นปีที่PFและบริษัทในเครือโหมการพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก ทั้งพัฒนาเองและร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ ที่มีแนวโน้มว่าจะไปได้สวย

 


เปิดแผนปี61ผุด25โครงการรวมมูลค่า2.3หมื่นล้าน
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน)หรือPF
เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทในเครือในปี2561 ว่าจะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 35,823 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 20 โครงการ มูลค่า 23,243 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 4,280 ล้านบาท ขณะที่บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND มีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท และ วิลล่า 1 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท ถือว่าเป็นปีที่PF มีการเปิดตัวมากที่สุดอีกปีหนึ่ง จากปี2560 ที่ผ่านมามีการเปิดตัว 16 โครงการ รวมมูลค่า 22,190 ล้านบาท

 

ซื้อNPAแบงก์ผุดคอนโดฯประชารัฐ

โดยคอนโดฯที่PFพัฒนาเอง 1ใน3โครงการนั้น เป็นคอนโดฯประชารัฐ ซึ่งเป็นการสนองนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเป็นการซื้อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA)ของผู้ประกอบการรายย่อย จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการคอนโดฯสร้างค้าง ได้ประมาณ90% ที่ประสบปัญหาทางด้านการเงิน และบริษัทจะเข้าไปก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 10%ที่เหลือ

 

โครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 12.6 ไร่ บริเวณย่านนวมินทร์ โดยจะเป็นคอนโดฯแบรนด์ใหม่ สูง 8 ชั้น จำนวนทั้งหมด 10 อาคาร ขนาด 30 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาประมาณ 880,000 บาท/ยูนิต รวม 1,988 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,480 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส4/2561 นี้ก่อน 5 อาคาร หรือประมาณ 1,000 ยูนิต

 

“โครงการนี้เป็นโครงการของภาครัฐที่ส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อย และเป็นเอกชนรายแรกที่เข้ามาดำเนินการ โดยเราจะคุยกับธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)เพื่อหาดอกเบี้ยอัตราต่ำให้ลูกค้าระดับล่าง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ2% ผ่อนไม่เกิน2,000บาท/เดือน ส่วนคุณสมบัติผู้กู้อาจพบปัญหากู้ไม่ผ่านบ้าง รมดว่าจะมียอดรีเจคประมาณ 20% ซึ่งไม่กังวลเพราะกลุ่มระดับล่างเป็นตลาดที่ใหญ่ เชื่อว่าจะมีผู้รอซื้ออยู่อีกเป็นจำนวนมาก”นายชายนิด กล่าว

 

ดึงยักษ์ฮ่องกงร่วมทุนผุดบ้านเดี่ยวครั้งแรก
นอกจากนี้PFยังมีโครงการร่วมทุนพัฒนาบ้านเดี่ยวกับกลุ่มทุนจากฮ่องกง ที่ดำเนินการลงทุนในทุกธุรกิจ มีเม็ดเงินลงทุนทั้งในฮ่องกงและสิงคโปร์ แต่ละโครงการจะมีขนาดใหญ่ มูลค่าลงทุนหลายหมื่นล้าน โดยจะมีการเซ็นสัญญาในไตรมาส2 นี้ ซึ่งแม้PF ยังไม่เปิดเผยชื่อพันธมิตรกลุ่มนี้ แต่ก็พอฟันธงได้ว่าเป็นกลุ่มฮ่องกง แลนด์ ที่ก่อนหน้านี้มีการร่วมทุนกับกลุ่ม สิงห์ เอสเตท และกลุ่มเซ็นทรัล มาแล้ว โดยในเบื้องต้นจะมีการร่วมทุนพัฒนาบ้านเดี่ยว แบรนด์ใหม่ อย่างน้อย 2 โครงการ ในโซนตะวันออกและตะวันตกของกทม. ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป รวมมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่ในปีนี้อาจจะมีการชิมลางก่อน 1 โครงการ ซึ่งเป็นการนำที่ดินสะสมย่านแจ้งวัฒนะ จำนวน 66 ไร่ ภายใต้คอนเซ็ปต์Lake Resort จำนวน 110 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,276 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ในไตรมาส4/2561 นี้

 

“การที่กลุ่มฮ่องกง สนใจร่วมทุนพัฒนาบ้านเดี่ยว เพราะมองว่าดีมานด์มีความต้องการอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเมื่อรถไฟฟ้าทั้งหมด 11 สายก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ การเดินทางก็จะยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบ้านชานเมืองตามมาอย่างแน่นอน และถือเป็นบริษัทแรกที่มีการร่วมทุนกับต่างชาติพัฒนาบ้านเดี่ยว”นายชายนิด กล่าว

 

GRANDซื้อที่ดินQHควงซูมิโตฯขึ้นคอนโดฯหรู
สำหรับการร่วมทุนกับกลุ่มซูมิโต ฟอเรสทรี จากญี่ปุ่น จะมีการร่วมพัฒนาโครงการผ่านการลงทุนของ GRAND จำนวน 2 โครงการ คือ โครงการคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ แบรนด์ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส3/2561 นี้

 

ส่วนอีกโครงการเป็นคอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ แบรนด์ใหม่ สูงประมาณ 70 ชั้น บริเวณซอยเจริญนคร43 บนพื้นที่ 8 ไร่ ตรงข้ามเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ และติดโครงการ ”วอเตอร์มาร์ค เจ้าพระยา” ซึ่งเป็นการรวมซื้อที่ดิน 2 แปลงๆแรกเป็นที่ดินที่ซื้อมาจากบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)หรือQH จำนวน 4 ไร่ ติดถนนเจริญนครซึ่งคาดว่าเป็นที่ดินสะสมเก่าสมัย “นายรัตน์ พานิชพันธ์”ยังนั่งแท่นซีอีโอ อยู่และทางQH หวังจะซื้อที่ดินแปลงติดกันซึ่งติดแม่น้ำเพิ่ม แต่ปรากฏว่าไม่สามารถต่อจิ๊กซอว์ติดได้ตามที่วางแผนไว้ เพราะไม่สามารถซื้อที่ดินเพิ่มได้ ส่วนอีกแปลงหนึ่งเป็นที่ดินซื้อจากผู้อยู่อาศัยเดิม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่QH เคยพลาดหวังมา โดยทั้ง 2 แปลงนี้ทางGRAND ซื้อมาในราคาไม่ถึง 500,000 บาท/ตารางวา หรือรวมทั้งหมดประมาณเกือบ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาพัฒนาเป็นคอนโดฯ ราคาขายจะไม่เกิน 250,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท คาดจะสามารถเปิดตัวได้ในปลายปี2561 พร้อมกับ โครงการ “ไอคอนสยาม”

 

อีกทั้งPF ยังมีแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่องบนที่ดินเปล่า Freehold ประมาณ 300 ไร่ โดยนอกจากการลงทุนในโครงการ “ยู คิโรโระ” คอนโดมิเนียมมูลค่า 4,000 ล้านบาทที่เพิ่งเปิดตัวไปแล้วนั้น ยังมีแผนจะพัฒนาโครงการในรูปแบบวิลล่า มูลค่า 4,500 ล้านบาท ร่วมกับบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่อยู่อาศัยของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

 

เล็งงัดที่ดินย่านรัชดาฯขายกลุ่มทุนรร.

ด้านความคืบหน้าของการจัดการที่ดินบนทำเลย่านรัชดา 2 แปลง พื้นที่ 20 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท วี รีเทล จำกัด(มหาชน)ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ที่สนใจซื้อหรือร่วมทุน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 2/2561 ซึ่งหากข้อสรุปออกมาเป็นการขายที่ดิน บริษัทจะได้เงินจากการขายที่ดินดังกล่าวที่ 2,700 ล้านบาท โดยผู้ที่สนใจที่มีการเจรจากันอยู่นั้นมี 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจทำโรงแรมในไทย 1 ราย และกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางที่ลงทุนในธุรกิจโรงแรมอีก 1 ราย

 

สำหรับแผนการพลิกฟื้น วี รีเทลฯ ให้มีผลการดำเนินงานกลับมาเติบโต และเตรียมนำกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2563 โดยนอกเหนือจากขายที่ดินย่านรัชดาแล้ว บริษัทกำลังพิจารณาหาสินทรัพย์ใหม่เข้ามาทดแทนอาคาร One & Two pacific place ที่จะหมดสัญญาเช่าในปี 2562 พร้อมกับเร่งหาผู้เช่าเข้ามาเช่าพื้นที่ในโครงการ Metro west town

 


“ปีนี้เป็นปีที่บริษัทนำที่ดินสะสมมาพัฒนาและขายเพื่อสร้างรายได้และผลกำไร ประมาณกว่า 6,700 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัทยังมีแผนเพิ่มรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีรายได้รวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ที่ 16,200 ล้านบาท และมียอดขายที่ 20,900 ล้านบาท”นายชายนิด กล่าวในที่สุด