แสนสิริมั่นใจเศรษฐกิจฟื้น กางแผนผุดคอนโดฯปี61 จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท ทั้งเปิดแบรนด์ใหม่เจาะตลาดกำลังซื้อรุ่นใหม่ พร้อมนำแบรนด์ “เวีย”ทำตลาดอีกรอบ ไตรมาส1 พร้อมพรีเซล 2 โครงการ “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง”-“ลา คาซิตา” จ่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ตั้งเป้ายอดขายคอนโดฯปีนี้แตะ 30,000 ล้านบาท

 


นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI
เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดคอนโดฯว่าจะขยายตัวได้ 8-9% โดยปีนี้มั่นใจว่าสภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ที่มีการคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี)ปีนี้น่าจะเกิน 4% จากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัว 3.9% ผลจากการส่งออกที่ขยายตัวดี การท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนและมีชาติอื่นเข้ามามากขึ้น ด้านแนวโน้มราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรง ๆ แต่มีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่การลงทุนภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการเดินหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่มีความชัดเจน จะทำให้เอกชนมีความเชื่อมั่นลงทุน และมีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวตาม   ด้านการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการเองก็มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตในคอนโดฯมากขึ้น

 

สำหรับแผนในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของบริษัทฯปี 2561 ได้เตรียมเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท เป็นการพัฒนาในกรุงเทพฯ จำนวน 7 โครงการ แบ่งเป็นแบรนด์ The Best (เดอะเบสท์) 3 โครงการ, แบรนด์ใหม่ 3 โครงการ ที่เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีอำนาจในการซื้อช่วง 5-10 ปีข้างหน้า และอีก 1 โครงการเป็นการนำแบรนด์ Via (เวีย) กับมาทำตลาดอีกครั้ง หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เวียมาแล้ว 3 โครงการในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Via31, Via Botani และ Via49

 

โดยใน 7 โครงการนี้จะเป็นการร่วมทุนกับบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 4-6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท  โดยราคาขายจะแบ่งเป็นตลาดกลาง-บน ราคาขายมากกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป สัดส่วน57% และราคาที่เข้าถึงได้ไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางเมตร สัดส่วน 43%

 

ส่วนที่เหลืออีก 5 โครงการ เป็นการพัฒนาในหัวเมืองใหม่ต่างจังวัด หลังจากที่ชะลอการลงทุนมา 3-4 ปี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยแสนสิริ ลงทุนเองทั้งหมด ได้แก่ เชียงใหม่ หัวหิน พัทยา ภูเก็ต และหาดใหญ่ จะพัฒนาเป็นอาคารโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร หรือประมาณ 400 ยูนิตต่อโครงการ พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 20 ตารางเมตร และราคาขายเฉลี่ยประมาณ 1-2 ล้านต่อยูนิต เนื่องจากจังหวัดเหล่านี้ได้รับอานิสงส์การท่องเที่ยว ดีมานด์มีกำลังซื้อและยังมีความต้องการซื้อจากตลาดต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวด้วย

 

สำหรับไตรมาส1/2561 นี้จะมีการเปิดตัว 2 โครงการ คือ “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” (The LINE Wongsawang) ภายใต้แนวคิด Selection is Everything นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างSIRI และ BTS เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบ High Rise ความสูง 36 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ ขนาดเริ่มต้นที่ 28 – 60 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นทีท 1.99-7 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ 95,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 1,287 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 17-18 มีนาคม 2561 นี้ คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 30% และทั้งปีจะทำได้ 50% คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 ปี

 

ส่วนอีกโครงการคือ “ลา คาซิตา” คอนโดฯ ที่หัวหิน ที่จะเปิดพรีเซลในปลายเดือนมีนาคมนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

ด้านแผนการรุกตลาดต่างชาติ จะรุกขยายฐานเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจาะกลู่มลูกค้าใหม่ “เกาหลี” และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าเดิมอย่างลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย

 


สำหรับยอดขายรวมของSIRI ในปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 45,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายคอนโดมิเนียมตั้งเป้าไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากเป้าหมายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ในปีก่อน และคาดว่าจะรับรู้รายได้ ในส่วนของคอนโดฯที่ 8,000 ล้านบาท โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้(แบ็คล็อก) ภายใน 3 ปีที่ 41,300 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้จากโครงการร่วมทุนกับ 2 พันธมิตรคาดว่าจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท ซึ่งSIRI จะรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์เข้ามาเป็นผลกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน