พฤกษา ปี 2561 ตั้งเป้าโตทุกมิติ 10-13% ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 53,742 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 50,500 ล้านบาท เปิดตัว 75 โครงการมูลค่า 66,700 ล้านบาท บุกหนักตลาดกลางถึงบน ล่วงผ่านไตรมาส1 เข้าสู่ไตรมาส 2/2561 พฤกษา ยังเดินตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมกับเดินหน้าทำการตลาดและการขายในทุกมิติ เปิดทุกช่องขายดึงลูกค้าที่มีเกือบ 6 แสนรายในมือช่วยขาย-ลุยตลาดต่างประเทศ เจาะลูกค้าจีนเต็มสูบ
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือPSH เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส1/2561 ว่า โดยรวมตลาดมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งกรวมถึงผลประกอบการด้านยอดขายของบริษัทฯเติบโตทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยคอนโดมิเนียมเติบโตมากสุด และบริษัทฯยังคงดำเนินงานตามแผนเดิมที่ประกาศไว้เมื่อช่วงต้นปี ทั้งเป้ายอดขาย รายได้ รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่
ส่วนการแข่งขันของตลาดนั้นมองว่า ในช่วงไตรมาส 2/2561 ตลาดมีการแข่งขันต่อเนื่องจากไตรมาส1 หลายบริษัทออกแคมเปญการตลาดออกมาช่วงชิงกำลังซื้อ ในส่วนของบริษัทฯนั้นปีนี้ได้ออกแคมเปญใหญ่ ฉลองครบรอบ 25 ปี นำทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม ทุกทำเลทั่วประเทศ จำนวน 222 โครงการ รวม 13,366 ยูนิต ออกมาระบาย ด้วยการอยู่ฟรี 25 เดือน พร้อมลุ้นรับรถยนต์ Honda Jazz 25 คัน รวมมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทเริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม – 15 กันยายน และโอนภายใน 31 ตุลาคม 2561 ตั้งเป้ายอดขายในช่วงดังกล่าวไว้ที่ 30,000 ล้านบาท
“การให้ลูกค้าอยู่ฟรี 25 เดือนนั้นจะช่วยลูกค้ากลุ่มที่มีปัญหาด้านการขอสินเชื่อกับธนาคาร” นายปิยะกล่าว พร้อมกันนี้เขายังกล่าวว่าปี 2561 เป็นปีแรกที่ดำเนินกลยุทธ์หลักผ่านการตลาดและการขายทุกมิติ ทุกช่องทาง ดังนี้คือ ให้ลูกค้าที่มีเกือบ 6 แสนรายช่วยขาย ซึ่งเรียกว่า Pruksa Member , บุกตลาดต่างประทศ ,ขายผ่านเอเจนซี่ โดยเฉพาะนำสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-3 ล้านบาทตอ่ยูนิตไปขายให้กลุ่มลูกค้าชาวจีน ในลักษณะเป็นล็อตๆละ20-30% ของห้องชุดที่มีอยู่ทั้งหมดในแต่ละโครงการ ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี เห็นได้จากยอดขาย 25 % โครงการคอนโด เดอะทรี ลาดพร้าว 15 เป็นลูกค้าชาวจีน และขณะนี้อยู่ระหว่างนำห้องชุดในโครงการ คอนโดพลัม พหลโยธิน 89 จำนวน 1,000 ยูนิตจากทั้งหมด 2,000-3,000 ยูนิต รวมถึงโครงการเดอะทรี ริโอ บางอ้อ สเตชั่นไปขายด้วย
ทั้งนี้ในการขายให้กลุ่มลูกค้าจีนนั้น นายปิยะกล่าวว่า จะมีความแตกต่างจากลูกค้าคนไทย กล่าวคือถ้าเป็นลูกค้าคนไทยอาจเก็บเงินทำสัญญาอยู่ที่ 5-10 % แต่สำหรับลูกค้าชาวจีนจะเก็บเงินทำสัญญามากกว่า 30 % ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการโอน “ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่เราจะรุกตลาดจีนอย่างจริงจังถือเป็นกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ” และได้ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 20-30% ของเป้ายอดขายรวมคอนโดฯ
สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่นั้น นายปิยะกล่าวว่า ในช่วงไตรมาส2/จะเปิดตัว 19 โครงการมูลค่าการขายรวมกว่า 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 5 โครงการมูลค่า 5,700 ล้านบาท และทาวนเฮ้าส์ 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 7,300 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมจะเน้นเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 -4 รวมประมาณ 7 โครงการ
ในการเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ทั้งปีนั้นจะเน้นทุกพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ/ปริมณฑลและต่างจังหวัด ตามการขยายตัวของเมือง โดยเน้นทำแลที่เชื่อมการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฝั่งตะวันออก หรือโซนสมุทรปราการ ที่ครบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก มีแหล่งงาน และเชื่อมสู่ตลาดอีอีซี ในแต่ละปีโซนนี้มีมูลค่าตลาดรวม 50,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นจำนวนหน่วยอยู่ที่ 10,000 หน่วย และด้วยศักยภาพของทำเลคาดว่าตลาดน่าจะยังเติบโตต่อเนื่องได้อีกมาก ซึ่งจะต่างจากตลาดที่อยู่อาศัยในแถบ นนทบุรีนั้น มูลค่าการตลาดในแต่ละปีอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท แต่ด้วยข้องจำกัดของผังเมืองใหม่และราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นสูงอาจทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมีการเติบโตที่ชะลอตัว
ด้านตลาดที่อยู่อาศัยย่านปทุมธานีนั้นมูลค่าของตลาดโดยรวมต่อปีอยู่ที่ 22,000-25,000 ล้านบาท ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง มีโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และในอนาคตจะมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในธุรกิจรีเทลของภาคเอกชน จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยจะเป็นที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่ดินที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้พัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้ยากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบทที่อยู่รอบๆเมืองนั้นผู้ประกอบการหันมาพัฒนาเป็นบ้านแฝดในเมืองแทนคือทำเลในย่านเซียร์รังสิต หรือ ทำเลย่านรามอินทรา เป็นต้น
อีกทำเลที่ตลาดที่อยู่อาศัยไม่ค่อยเติบโตมากนักเมื่อเทียบกับทำเลอื่นๆสี่มุมเมืองนนั่นคือ กรุงเทพฝั่งตะวันตกตอนล่างแถวๆทำเลสมุทรสาคร ในแต่ละปีมีตลาดรวมอยู่ที่ 7,800 ล้านบาท หรือกว่า 2,000 ยูนิต ทำเลแถบนี้มีปัญหาด้านผังเมือง ไม่มีรถไฟฟ้าผ่าน จึงทำให้ตลาดคอนโดฯจึงยังไม่เหมาะที่จะพัฒนาตลาดคอนโดฯแต่จะเหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการแนวราบแต่ก็ต้องมีความระมัดระวัง เพราะรายได้ของผู้บริโภคในย่านนั้นยังไม่ดีพอ ถ้าเทียบกับทำเลอื่นๆ
ข้อมูลสำคัญของบริษัทพฤกษาฯ ณ สิ้นปี 2560
- ทำยอดขายรวมได้ 47,536 ล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2559
- มีรายได้รวมอยู่ที่ 43,922 ล้านบาท ลดลง 6.1% เมื่อเทียบกับปี 2559
- มีกำไรสุทธิ 5,456 ล้านบาท ลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับปี 2559
- ณ สิ้นปี 2560 สต๊อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายที่ 16,100 ล้านบาท
- ณ สิ้นปี 2560 มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 181 โครงการ จำนวน 34,859 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าที่เหลือขาย (Unsold)ประมาณ 99,331 ล้านบาท แบ่งเป็น ดังนี้
- ทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 20,947 ยูนิต รวมมูลค่า 53,862 ล้านบาท
- บ้านเดี่ยว จำนวน 5,998 ยูนิต รวมมูลค่า 26,600 ล้านบาท
- คอนโดฯ จำนวน 6,841 ยูนิต รวมมูลค่า 13,616 ล้านบาท
- และกลุ่มพรีเมี่ยม จำนวน 1,073 ยูนิต รวมมูลค่า 5,253 ล้านบาท
ข้อมูลสำคัญของบริษัทพฤกษาฯ ปี 2561
- เปิดโครงการใหม่รวม 75 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท
- ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 53,742 ล้านบาท เพิ่ม 13% จากปี 2560
- ยอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 50,500 ล้านบาท เพิ่ม 10% จากปี2560
- ตั้งเป้ามีกำไรสุทธิเพิ่ม 13% จากปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 5,456 ล้านบาท
- ตั้งงบซื้อที่ดินที่ 16,000 ล้านบาทสำหรับเตรียมพัฒนาในปี 2562-63
- จัดกลุ่มธุรกิจใหม่ 3 กลุ่มมี CEO ดูแลชัดเจน ดังนี้
- กลุ่มธุรกิจพรีเมี่ยม บริหารโครงการคอนโด ฯ ระดับบนใจกลางเมือง
- กลุ่มธุรกิจแวลู ประเภทบ้านเดียวและคอนโด ฯ ระดับราคากลาง-ล่าง
- และกลุ่มธุรกิจทาวน์เฮ้าส์
- ชูกลยุทธ์การตลาด – การขายแบบ…ไร้ขอบเขต
- ครบรอบ 25 ปี สร้างที่อยู่อาศัยและส่งมอบให้ลูกค้า 2.5 -3 แสนยูนิต