เคพีเอ็น พร้อมเปิดตัวคอนโดฯร่วมทุนเคปเปลโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ใหม่ “SHÁÁ” (ฌาา) มูลค่า 2,500 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซล 25-27 พ.ค.นี้ มั่นใจศักยภาพปิดขายภายใน 6 เดือน ด้านกลุ่มสิงคโปร์มั่นใจศักยภาพประเทศไทย ยังน่าลงทุนโครงการระดับลักชัวรี่ ขณะที่ซีบีอาร์อีฯระบุทำเลสุขุมวิทยังฮอท ราคาที่ดินปรับสูงถึง 30% ส่งผลราคาคอนโดมิเนียมขยับตัวขึ้นเฉลี่ยกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร

 

นายระวี ธาตุนิยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามารุกตลาดลักชัวรี่กันมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการซื้อ ทำให้การแข่งขันในเซกเมนต์นี้ค่อนข้างสูง  รวมไปถึงสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจ และสังคม หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และมองว่าหากต้องการขยายตลาด  บริษัทฯ จึงได้มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อให้ตอบรับ และสอดคล้องกับแนวโน้มทางการตลาดในปัจจุบัน ด้วยการเปิดคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “SHÁÁ” (ฌาา) ภายใต้คอนเซ็ปต์โมเดิร์น คราฟส์แมนชิพ (Modern Craftsmanship) ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ร่วมทุนกับบริษัท เคปเปล แลนด์ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศสิงคโปร์ ภายใต้บริษัท ร่วมทุน บริษัท เคพีเอ็น-เคปเปล อัลลายซ์แอนซ์ จำกัด

 

โดยโครงการ“SHÁÁ ASOKE (ฌาา อโศก)ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่  ในซอยสุขุมวิท  เป็นคอนโดมิเนียม สูง 24 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 34.5-117 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 10-36 ล้านบาท  หรือราคาเฉลี่ย 320,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 143 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยจะเปิดขายทั้งใน และต่างประเทศ ในอัตราส่วน 70/30  ซึ่งในประเทศไทยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2561 นี้ โดยมอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหารงานขาย  ซึ่งจะแบ่งขายในบางชั้นของคอนโดฯ ส่วนที่เหลือจะแบ่งให้กลุ่มเคปเปลนำไปขายที่ประเทศสิงคโปร์ ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2561 นี้ คาดว่าภายในระยะ 3 วัน จะสามารถทำยอดขายได้ 45-60% และจะปิดการขายทั้งหมดได้ภายใน 6 เดือน

 

“จากความสำเร็จของเดอะ ดิโพลแมททั้ง 2 โครงการที่ขายไปได้แล้วกว่า 85%  ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดต่างประเทศของเคปเปล แลนด์  ผนวกกับสภาพเศรษฐกิจ             ที่ปรับตัวดีขึ้น  และศักยภาพของทำเลย่านสุขุมวิทตอนกลางที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายระวี กล่าว

 

มร.แซม มูน ตง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานด้านการลงทุนส่วนภูมิภาค บริษัท เคปเปล แลนด์ จำกัด กล่าวว่า เคปเปลฯเข้ามารุกตลาดอสังหาฯในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2543 เพื่อต้องการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องเลือกพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ โดยประเทศไทย ณ วันนี้มีความน่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีอัตราการเติบโตทั้งด้านการท่องเที่ยว เรื่องการคมนาคม ที่รัฐบาลมีการขยายโครงข่ายการคมนาคมไปเป็นจำนวนมาก จึงมองว่าตลาดอสังหาฯในประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดฯระดับลักชัวรี่ ที่ดีมานด์ยังมีสูง เพราะรสนิยมการอยู่อาศัยเปลี่ยนไป หันมาซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น ในขณะที่ซัพพลายยังมีน้อย ดังนั้นจะทำให้ราคาคอนโดฯมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปี

 

 

ด้านนางอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่า  ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระดับลักชัวรี่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาดีต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายใหม่เข้าตลาดพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่มากขึ้น ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2561 เพราะดีมานด์มีความเชื่อว่าหากซื้อและถือครองในระยะยาว มูลค่าของสินทรัพย์มีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างแน่นอน  เนื่องจากปัจจัยบวกจากสภาพเศรษฐกิจ การเมือง การท่องเที่ยว ตลาดทุน ตลอดจนการเติบโตของการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะทำเลสุขุมวิทโครงการส่วนใหญ่สามารถปิดการขายได้ถึง 69.8% และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคามีการปรับตัวสูง 15%ต่อปี บางทำเลที่มียอดขายที่ดีจะปรับสูงไปถึง 20%

 

 

โดยย่านอโศก เริ่มตั้งแต่ซอยสุขุมวิท 19 , 21 และ 23  ถือได้ว่าเป็นทำเลทองที่มีศักยภาพมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว  สังเกตได้จากการเกิดขึ้นของโครงการใหม่ๆ ทั้งโครงการมิกซ์ยูส , โรงแรม หรือคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ราคาที่ดินย่านสุขุมวิทมีการปรับตัวพุ่งสูงขึ้นจาก 2 ปีที่ผ่านถึง 30% ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมขยับตัวขึ้นตามอย่างเนื่องโดยมีราคาเฉลี่ยกว่า 300,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งนอกจากปัจจัยหลักที่กล่าวมาแล้ว อัตราความต้องการของผู้ซื้อทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงที่มองหาทำเลนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งซื้ออยู่เอง หรือซื้อเพื่อการลงทุน