ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเผย 5 ทำเลบ้าน-คอนโดฯ ณ สิ้นสุดปี 2560 ค้างสต๊อกกว่า1.42 แสนหน่วยคิดเป็นมูลค่ากว่า 5.49 แสนล้านบาท

 

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์ 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์หรือ REIC  กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2561”ว่า ณ สิ้นสุดปี 2560 พบมีโครงการที่อยู่อาศัยทั้งที่เป็นโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วยระหว่างการขาย ทั้งหมด 1,584 โครงการมีจำนวนหน่วยในผังรวม 458,943 หน่วย มีมูลค่าโครงการรวม 1,764,603 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นอุปทานเหลือขาย จำนวน 142,860 หน่วย มูลค่ารวม 549,807 ล้านบาท ประกอบด้วย ดังนี้

 

โครงการบ้านจัดสรร มีจำนวน 1,135 โครงการ มีจำนวนหน่วยในผังรวม 212,997 หน่วย มีมูลค่าโครงการรวม 916,112 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย จำนวน 80,449 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 56.3  % ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด มูลค่าเหลือขายรวม 340,302ล้านบาท

 

โครงการอาคารชุด มีจำนวน 449 โครงการ มีจำนวนหน่วยในผังรวม 245,946 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 848,491 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย จำนวน 62,441 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 43.7 % ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด มูลค่าเหลือขายรวม 209,504 ล้านบาท

 

ทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล.เหลือขายมากสุด 53.6%

สำหรับภาพรวมโครงการเหลือขายพบว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลดร.วิชัย กล่าวว่า  มีสัดส่วนที่อยู่อาศัยเหลือขาย  31.1% ที่มีมูลค่าเหลือขาย 549,807 ล้านบาทนั้น ในประเภทบ้านจัดสรร ณ สิ้นปี 2560 (จากมากไปหาน้อย)ดังนี้ 1. ทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วนเหลือขายมากที่สุด  53.6 % โดยส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 2.01- 3.00 ล้านบาท 2. บ้านเดี่ยว เหลือขาย 31.5 %  โดยส่วนใหญ่เหลือขายอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท3. บ้านแฝด เหลือขาย 10.3  %โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด  4. อาคารพาณิชย์พักอาศัย เหลือขาย  4.3 % โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00  ล้านบาทมากที่สุดและ 5. ที่ดินเปล่า เหลือขาย 0.2 %โดยเหลือขายในระดับราคา 3.01 – 5.00  ล้านบาทมากที่สุด

 

ส่วนทำเลของโครงการบ้านจัดสรรที่เหลือขาย มากที่สุด 5 อันดับแรก ณ สิ้นปี 2560 ได้แก่ 1) ลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ 2) จังหวัดสมุทรปราการ 3) บางกรวย–บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ซึ่งเป็นแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เปิดให้บริการแล้ว4) สมุทรสาคร และ 5) มีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง

 

“ โดยทั้ง 5 ทำเลนี้เหลือขายเป็นประเภททาวน์เฮ้าส์ ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด ยกเว้นทำเลสมุทรปราการ เหลือขายประเภททาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด”

 

ห้องชุดแบบ1ห้องนอนเหลือขายกว่า 66%

ในประเภทโครงการอาคารชุด พบว่า ณ สิ้นปี 2560 ดังนี้ ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอนเหลือขายมากที่สุด 66.2  % โดยส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 2.01- 3.00 ล้านบาท รองลงมาเป็นห้องชุดแบบสตูดิโอ เหลือขาย 22.1 %  ซึ่งส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา1.01 – 1.50 ล้านบาทมากที่สุด ส่วนประเภทห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน มีสัดส่วนเหลือขาย 10.7  % ส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาทมากที่สุด ขณะที่ ห้องชุดแบบ 3 ห้องนอนขึ้นไปเหลือขาย 0.9 % ซึ่งส่วนใหญ่เหลือขายในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมากที่สุด

 

ทำเลของโครงการอาคารชุดที่เหลือขาย มากที่สุด 5 อันดับแรก ณ สิ้นปี 2560 ได้แก่ 1) จังหวัดนนทบุรี 2) ธนบุรี ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตากสิน-บางหว้าที่เปิดให้บริการแล้ว 3) จังหวัดสมุทรปราการ   4) ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง  และ 5) จังหวัดปทุมธานี โดยทำเลจังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ เหลือขายเป็นประเภท 1 ห้องนอน ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด ส่วนทำเลธนบุรี และห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขายเป็นประเภท 1 ห้องนอน ในระดับราคาที่สูงกว่าทำเลอื่น คือ ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทในสัดส่วนมากที่สุด และทำเลจังหวัดปทุมธานี เหลือขายประเภทสตูดิโอ ในระดับราคาน้อยกว่า 1 ล้านบาทมากที่สุด

 

สำหรับในปี 2561 ศูนย์ข้อมูลฯได้ประมาณการอุปทานเหลือขายที่อยู่อาศัยในตลาด กรุงเทพฯ-ปริมณฑล  โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 145,099 หน่วย ประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแนวราบมีประมาณ 80,490 หน่วย คิดเป็น 55.5  % และ อาคารชุดมีประมาณ  64,609 หน่วย คิดเป็น 45.5 %โดยประมาณการว่าหน่วยที่เหลือขายมากที่สุด คือ อาคารชุด 44.5  % รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส 32.4 % บ้านเดี่ยว 16.0% ที่เหลือเป็น บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์