หลังจากที่ บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนลพร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด รุกตลาดเมืองไทยครั้งแรก เมื่อปี 2555 ด้วยการเปิดตัวโครงการ “ทีซี-กรีน คอนโดมิเนียม” โครงการคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 1.74 ล้านบาท  ด้วยงบลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งใช้ระยะเวลาหลายปีจึงปิดการขาย ซึ่งล่าสุดได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดย”นายกิตติศักดิ์ วงศ์วิสุทธิ์” ซึ่งเดิมเป็นซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างให้กับบริษัทอสังหาฯในประเทศไทยหลายโครงการ และถือหุ้นในเทียนเฉินฯเพียง 10% ล่าสุดได้เข้ามาถือหุ้นเพิ่มเป็น 40%  รวมทั้งดึงกลุ่มทุนไทยเข้ามาถือหุ้นเพิ่มอีก 2 กลุ่ม คือกลุ่มตระกูล”วิริยะ”ซึ่งพัฒนาโครงการอสังหาฯ ถือหุ้นเกือบ 10% และอีกกลุ่มที่จะเข้ามาถือหุ้นภายในปี2562 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มเทียนเฉินฯที่ปัจจุบันถือหุ้นสัดส่วน 30% เหลือสัดส่วนที่ลดลงไปอีก

 

 

รีแบรนด์ชื่อบริษัท-รุกโครงการลักชัวรี่

โดยนายกิตติศักดิ์ วงศ์วิสุทธิ์ กรรมการ บริษัท ทีซี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า อกจากปรับโครงสร้างผู้บริหารบริษัทใหม่แล้ว ยังได้ปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนลพร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นบริษัท ทีซี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท  เมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา เนื่องจากต้องการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ให้เป็นลักชัวรี่มากขึ้น รวมถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ระดับกลาง-บน เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ พร้อมทั้งปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ โดยเน้นพัฒนาโครงการคอนโดฯคุณภาพระดับกลาง-บน บนทำเลศักยภาพย่านใจกลางเมืองและรอบซีบีดี ปีละประมาณ 1 โครงการๆละไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท  ทั้งนี้แล้วแต่ทำเล  ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรองรับการพัฒนาในอนาคตแล้ว 4 แปลง เป็นที่ดินย่านพระราม9 จำนวน 2 แปลง และย่านพระราม 3 จำนวน 2 แปลง ทั้งนี้หากแปลงไหนมีศักยภาพในการพัฒนาแนวราบ ก็อาจจะนำมาพิจารณาในอนาคต ซึ่งต้องดูสภาวะตลาด ซัพพลายและดีมานด์ในช่วงนั้นๆด้วย

 

“ทำเลพระราม9 ในปัจจุบันยังมีดีมานด์อีกมาก โดยเฉพาะชาวต่างชาติ จึงเหมาะที่จะพัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม ส่วนทำเลพระราม3 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ในขณะที่ชาวต่างชาติจะให้ความสนใจน้อย”นายกิตติศักดิ์ กล่าว

 

 

มั่นใจสิ้นปี“วันนายน์ไฟว์”ยอดขายแตะ80%

ซึ่งแผนการดำเนินงานของบริษัทจะเน้นพัฒนาครั้งละ 1 โครงการ จนเมื่อมียอดขายพุ่งไปประมาณ 80% แล้วจึงจะพัฒนาโครงการใหม่ ล่าสุดหลังจากที่เปิดพรีเซลโครงการ “วันนายน์ไฟว์” (One9Five) ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70% โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 40% ที่เหลือเป็นลูกค้าคนไทย ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายไม่น้อยกว่า 80% ภายในสิ้นปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนถนนพระราม 9  พื้นที่ 11 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมไฮไลท์ สูง 61 ชั้น  2 อาคาร บนพื้นที่ 11 ไร่เศษ ขนาด 25.50-271.5 ตารางเมตร ราคา 3.69 – 40 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 160,000-200,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 1,911 ยูนิต มูลค่าโครงการ 13,000 ล้านบาท และในวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2561 นี้ จะเปิดการขายอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นการปรับราคาขายขึ้นมาอีกประมาณ 5,000 บาท/ตารางเมตร นับจากเปิดพรีเซลครั้งแรก

 

 

หลายปัจจัยเสริมทำเลพระราม9-รัชดาฯเติบโตสูง

ปัจจุบันคอนโดฯในพื้นที่รอบแยกพระราม9-รัชดาภิเษก รวมประมาณ 14,006 ยูนิต มียอดขายโดยรวมประมาณ 89% โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ระหว่าง 70,000-230,000 บาท/ตารางเมตร ขณะที่โครงการที่เปิดขายใหม่ราคาขายเริ่มต้นที่มากกว่า  170,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ทำเลดังกล่าวมีความน่าสนใจ เพราะเป็นพื้นที่ที่มีอาคารสำนักงานรวมประมาณ 405,180 ตารางเมตร มีคนทำงานประมาณ 50,000 คน โดยเฉพาะอาณาจักร “เดอะ แกรนด์ พระราม9” มีพื้นที่อาคารทั้งหมดรวมประมาณ 1.2 ล้านตารางเมตร ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน (จี ทาวเวอร์,เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส,ยูนิลิเวอร์ เฮ้าส์,เดอะซุปเปอร์ ทาวเวอร์),ศูนย์การค้า(เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม9,เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม9),โรงแรม (นิวเวิลด์ แกรนด์ พระราม9) และคอนโดมิเนียม เบ็ล แกรนด์ พระราม9

 

ฃนอกจากนี้ทำเลดังกล่าวในอนาคตยังจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่อีกอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส อีกอย่างน้อย 6 โครงการ และยิ่งโครงการซุปเปอร์ ทาวน์เวอร์ ซึ่งมีความสูงถึง 125 ชั้น ก่อสร้างแล้วเสร็จ เชื่อว่าจะมีบริษัทข้ามชาติเข้ามาเช่าพื้นที่อีกมาก จึงเห็นว่าทำเลพระราม9-รัชดาภิเษก ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

 

 

“ในด้านผลตอบแทนด้านการลงทุนคอนโดฯในโซน อโศก พระราม 9  ถือว่าเป็นทำเลที่ทำกำไรได้ดีจากการปล่อยเช่า เนื่องจากมีอัตราการเข้าพักอาศัยสูง และมีกลุ่มผู้เช่าที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งชาวไทย และ Expat ชาวต่างชาติ มีศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย รวมไปถึง อาคารสำนักงานที่มีพื้นที่รวมกว่า 400,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดการณ์ว่ามีพนักงานกว่า 50,000 รายในย่านนี้ โดยอัตรา ค่าเช่าผลตอบแทนเฉลี่ยจะค่อนข้างสูงอยู่ที่  5-7%  ซึ่งหากเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน ที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ทำให้คอนโดฯในทำเลนี้ เป็นที่น่าสนใจในด้านการลงทุน ปล่อยเช่า” นายกิตติศักดิ์ กล่าว

 

ส่วนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีแผนแต่อย่างใด เนื่องจากต้องการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ ไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด สำหรับโครงการ “วันนายน์ไฟว์”นั้นคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า

 

กลุ่มทุนจีนแห่(ร่วม)ลงทุนอสังหาฯไทย