LHMH ในเครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ วางแผนลงทุนระยะกลาง 3-5 ปี รวมเม็ดเงิน 1.6 หมื่นล้านบาททั้งในรูปแบบ “มิกซ์ยูส” และ “สแตนอโลน” ปี 2562 เตรียมผุด “เทอร์มินอล 21” ริมน้ำเจ้าพระยา ย่านพระราม 3 บนเนื้อที่ 15 ไร่ ใช้เงินลงทุนราว 4,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการ“มิกซ์ยูส” พัทยามูลค่าลงทุน 6,000 ล้านเปิดบริการในเดือนตุลาคม นี้

นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัดหรือ LHMH บริษัทในเครือ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH) ผู้บุกเบิกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “เทอร์มินอล 21” ธุรกิจโรงแรม ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” เปิดเผยว่า แผนการลงทุนในระยะกลาง 3-5 ปีตั้งเป้าใช้เงินลงทุนกว่า 16,000 ล้านบาท (ลบ) ตามแผนจะลงปีละ 1-2 โครงการทั้งในรูปแบบ มิกซ์ยูส และ สแตนอโลน แต่ละโครงการใช้เงินลงทุน 4,000-5,000 ล้านบาทสำหรับพัฒนาห้างสรรพสินค้า “เทอร์มินอล 21”  ขณะที่โรงแรม “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์” ใช้เงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาที่ดินที่จะนำมาพัฒนาอยู่ 3-4 แปลงๆ ละ 10-15 ไร่ขึ้นไปอยู่ในเมืองตามแนวรถไฟฟ้าโดยคาดว่าน่าจะสรุปความชัดเจนได้ 1 แปลงปลายปี 2561 ที่ดินที่จะลงทุนพัฒนานั้นส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินเช่าระยะยาว 30 ปีและได้ตั้งงบประมาณสำหรับซื้อหรือเช่าที่ดินประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ จะลงทุนพัฒนาห้าง “เทอร์มินอล 21” ริมน้ำเจ้าพระยา ย่านพระราม 3 บนเนื้อที่ 15 ไร่ (ใกล้ๆ กับโรงแรมมณเฑียร) เป็นที่ดินเช่า 33 ปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ใช้เวลาในการพัฒนา 3 ปี ล่าสุด ในเดือนตุลาคม 2561 บริษัทฯ ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในเมืองพัทยา เป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกในต่างจังหวัด และเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งที่ 2 ของกลุ่ม LHMH มีพื้นที่กว่า 33 ไร่ ประกอบไปด้วยโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา จำนวน 396 ห้อง สวนน้ำลอยฟ้าพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และ ห้องประชุมสัมมนา ฯลฯ จับกลุ่มตลาดพรีเมี่ยม ตั้งเป้าในปีที่ 2 จะมีอัตราการเข้าพัก 88 %

ส่วนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา มีร้านค้ามากกว่า 500 ร้านค้า โครงการตั้งอยู่บริเวณพัทยาเหนือ มีทางเข้าออกได้มากถึง 3 เส้นทางหลัก คือถนนพัทยาเหนือ ถนนพัทยาสาย 2 และถนนเพ็ชรตระกูล ตั้งเป้ามีลูกค้าใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 50,000 คนต่อวัน คาดใช้เวลาคืนทุนประมาณ 8 ปี

 

“มีความมั่นใจในการลงทุน และยังเชื่อมั่นศักยภาพในเมืองพัทยาฮับ อีอีซี ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว และการลงทุนที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการให้บริการแบบครบวงจรสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ในทุกรูปแบบ” นางสุวรรณา กล่าว

 

จากภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน พร้อมทั้งคาดว่าจะมีลูกค้าจากภูมิภาคอื่นเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางและสหรัฐอเมริกา

 

พร้อมกันนี้นางสุวรรณา ยังกล่าวถึงเป้ารายได้ใน 2561 ว่าตั้งเป้ารายได้รวมทั้งสิ้นไว้ที่ 5,700 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการดำเนินงานในธุรกิจโรงแรมและห้างสรรพสินค้ารวมกันประมาณ 5,300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ 400 ล้านบาท เป็นรายได้จากการบริหารจัดการและเงินปันผล โดยได้ตั้งเป้ายอดรายได้เติบโตปีละกว่า 10 % และคาดว่าในอีก 2564 รายได้น่าจะแตะที่ 8,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ปัจจุบันกลุ่ม แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล ประกอบด้วย ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 อโศก และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ 4 แห่งได้แก่ ราชดำริ เพลินจิต เทอร์มินอล 21 และสุขุมวิท 55 รวมถึงศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา และโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา ที่จะมีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยสัดส่วนรายได้ปัจจุบันโรงแรมยังมากกว่าศูนย์การค้าประมาณ 60:40 เนื่องจากศูนย์การค้ายังมีเพียงแห่งเดียวซึ่งได้นำเข้ากองทรัสต์แล้ว จึงมีรายได้เฉพาะจากการบริหารพื้นที่ขายแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด และเทอร์มินอล 21 โคราช และในปี 2562 จะนำโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55  เข้ากองทรัสต์ ส่วนศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 พัทยา  และยังไม่นำเข้ากองทุนทรัสต์ ซึ่งจะทำให้รายได้จากศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเป็น 45%

 

“ตัวเลขการเติบโตทางธุรกิจยังไม่ใช่เป้าหมายหลัก โดยเป้าหมายหลักที่แท้จริงคือการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้สำเร็จ” นางสุวรรณา กล่าวในตอนท้าย