ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ฯ ผนึกนักธุรกิจเวียดนาม ประกาศเปิดเครือข่ายธุรกิจซื้อขายอสังหาฯ ในไทย  พุ่งเป้าเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ต เน้นแบรนด์ระดับลักชัวรี่ย่านซีบีดี-หัวเมืองท่องเที่ยว ราคา 200,000-500,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป  พร้อมดึงมืออาชีพจากออริจิ้นฯ นั่งแท่นCOO ตั้งเป้าสต๊อกในมือปีแรก 570 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี คาดรายได้ปีแรกแตะ 18 ล้านบาท

 

 

นายฮิราชิ คิตามิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ เปิดเผยว่า ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียลตี้ เป็นส่วนหนึ่งของ ลิสต์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยว เพื่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly Housing) ภายใต้ ชื่อ List Residence  จำนวนรวมกว่า 5,000 ยูนิต และ โครงการ List Garden ซึ่งเป็นโครงการบ้านเพื่อครอบครัวที่มีเด็ก จากความสำเร็จในด้านการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย จึงได้เริ่มต่อยอดธุรกิจไปยังฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นสื่อกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ให้คนญี่ปุ่นในฮาวาย และพาคนฮาวายมาซื้อโครงการที่ญี่ปุ่น จากจุดนั้นจึงพัฒนาธุรกิจด้านการเป็นสื่อกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  และเกิดเป็น บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ขึ้นในปี 2010 (2553) ทั้งนี้ เพื่อขยายขอบข่ายธุรกิจให้เป็นระดับเวิลด์ไวด์มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีทั้งสิ้น  10 สำนักงานในประเทศญี่ปุ่น และ 2 สำนักงานในฮาวาย และในประเทศฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง และล่าสุดได้ขยายสาขาเข้ามาในประเทศไทยเป็นประเทศที่ 6 โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ และกลุ่มนายควอง โค ที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว ในสัดส่วน 49:51 ก่อตั้งบริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมา ด้วยทุนจดทะเบียน 108 ล้านบาท  และภายในปีหน้าจะขยายไปอีก 2 ประเทศ คือ เวียดนาม และอินโดนีเซีย อย่างต่อเนื่อง

 

 

นายควอง โด กรรมการบริหาร  บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) จำกัด นักธุรกิจชาวเวียดนาม กล่าวว่า   การร่วมลงทุนกับทางญี่ปุ่นในครั้งนี้เนื่องจากมองเห็นช่องทางในการลงทุนและมั่นใจในแบรนด์ “ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้” ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลกมีฐานลูกค้าที่เป็นระดับซูเปอร์ลักซัวรี่มากมาย และที่เลือกมาตั้งสาขาในประเทศไทย เพราะไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์มาช้านาน ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และกรุงเทพฯ ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ โดยเฉพาะยานยนต์ที่ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานเป็นจำนวนมาก จึงเกิดการร่วมทุนขึ้นมา และถือเป็นอีกหนึ่ง โอกาสในการช่วยงานขายของผู้ประกอบการของไทยให้มีโอกาสในการขายสินค้าให้กับฐานลูกค้าระดับโลก ทำให้อสังหาฯ ไทย ได้เป็นที่รู้จักในระดับเวิลด์ไวด์มากยิ่งขึ้น โดยได้มอบหมายให้ “นางสาวชัญญา แซ่เตีย” ผู้คร่ำหวอด        ใน วงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทยมาแล้วกว่า 23 ปี ที่ล่าสุดเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการขาย  บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ โดยภารกิจหลักคือ การสร้าง ลิสต์ ซอเธอบี้ส์    อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าระดับลักซัวรี่ และเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นสำคัญในการช่วยรุกตลาดโซนอาเซียนอีกด้วย

 

 

ด้านนางสาวชัญญา แซ่เตีย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะเน้นดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มธุรกิจ คือ  1. ธุรกิจซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ (Real estate Brokerage) ในประเทศ  2. ธุรกิจซื้อ-ขาย อสังหาริมทรัพย์ (International Real estate Brokerage) ระหว่างประเทศ   3. ธุรกิจที่ปรึกษาโครงการ (Sales Consultant and Project Management) โดยเน้นกลุ่มลูกค้าและสินค้าระดับลักชัวรี่  ระดับราคาตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป  ในพื้นที่ย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุย  ซึ่งในปีแรกตั้งเป้าลูกค้าคนไทย 70%  และต่างชาติ อาทิ ฝั่งยุโรป ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น 30%    ตั้งเป้าจำนวนสต็อกที่เข้ามาในปีแรกทั้งสิ้นประมาณ  570 ล้านบาท ปัจจุบันมีสต็อกในมือแล้วประมาณ 200  ล้านบาท จากผู้ประกอบการ 5 ราย คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จำนวน 3 โครงการ  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 โครงการ  บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 โครงการ  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 โครงการ และบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 โครงการ อย่างไรก็ตามในปีที่ 2 คาดว่าจะมีสต็อกมูลค่าประมาณ 2,700 ล้านบาท  และในปีที่ 3 คาดว่าจะมีสต็อก มูลค่า 6,000 ล้านบาท  

 

 

ที่ผ่านมาแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นเช่นไร ราคาที่ดินจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดลักชัวรี่ ก็ยังขายได้ ไม่มีวันตาย และที่ผ่านมาพบว่า แต่ละโครงการหลังจากเปิดขายไปแล้วสักระยะ จะยังมีห้องขนาดใหญ่ หรือเพนท์เฮาส์ ที่ราคาสูง ในสัดส่วนประมาณ 10% ต่อโครงการ และลูกค้าคนไทยไม่สามารถซื้อได้ทั้งหมด จึงมองว่าจะเป็นช่องว่างให้บริษัทฯ เข้าไปทำตลาด นำสินค้าไปเสนอขายลูกค้าต่างชาติได้ ซึ่งมองว่าอสังหาฯ ไทยยังเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ ซึ่งราคายังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับในฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน อีกทั้งคุณภาพ และการดีไซน์ที่ไม่แพ้ประเทศอื่น

 

“ตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมามีซัพพลายเหลือขายในทุกตลาดประมาณ 20,000 ยูนิต ในขณะที่ตลาดลักชัวรี่เหลือขายเพียง 10% เท่านั้น  และห้องที่เหลือเป็นห้องขนาดใหญ่ ส่วนในปีนี้คาดว่าซัพพลายเหลือขายคงไม่ลดลงไปจากเดิม เพราะยังมีซัพพลายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องพึ่งพาโบรกเกอร์มืออาชีพเป็นที่ปรึกษา และการตลาดในการนำห้องขนาดใหญ่ไปขายให้กับชาวต่างชาติ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่มีเงินแต่ไม่มีโนว์ฮาว และไม่มั่นใจในการทำตลาดเพื่อให้สินค้าขายได้ดี ดังนั้นการใช้บริษัทที่ปรึกษาจึงสามารถตอบโจทย์ได้ดี” นางสาวชัญญา กล่าว

 

 

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้ (Revenue) ปีแรก (ปี2562) ไว้ที่ 18 ล้านบาท ซึ่งรายได้ ประมาณ 50% แรก มาจากธุรกิจซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ และอีก 50% ที่เหลือมาจากที่ปรึกษาโครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสัดส่วนรายได้จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ สำหรับปีที่ 2 จะมีรายได้ 82 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 524%  และในปีที่ 3 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 182  ล้านบาท เติบโต 204% ส่วนสาขาอื่นๆ นั้นที่ผ่านมาญี่ปุ่น สามารถทำรายได้เป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นฮาวาย ฮ่องกงและสิงคโปร์ ตามลำดับ