CEO ออริจิ้นฯ “ พีระพงศ์ จรูญเอก”  รับแบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อกระทบต่อผู้บริโภค และการโอนบ้านหรือคอนโดฯ  มั่นใจหากมาตรการปรับใหม่เกณฑ์ LTV ออกมาในอัตรา 70-85% น่าจะคุมบ้านหลังที่สองที่สาม พร้อมเดินหน้ากางแผนปี 2562 ลุยตลาดอสังหาฯ ระดับกลางบนต่อเนื่อง จ่อพัฒนาโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 30,000-32,000 ล้านบาท ล่าสุดผนึก “โนมูระ เรียลเอสเตท” ผุด พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ  มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปี 2561 รายได้ตามเป้า 16,000 ล้านบาท

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ มีความกังวลต่อภาวการณ์แข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และจะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์มาปรึกษาหารือที่อาจมีการออกมาตรการเข้มข้นเข้ามากำกับและดูแลนั้น ส่วนตัวเห็นด้วยหากภาครัฐจะเข้ามาดูแลเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่อาจกระทบต่อผู้บริโภคและการโอนบ้านหรือคอนโดมิเนียม รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ “จับเสือมือเปล่า” ที่ซื้อหลายยูนิตเพื่อการลงทุน แต่ทั้งนี้เชื่อว่าอัตราส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านเทียบกับมูลค่าบ้าน (LTV :Loan to Value) น่าจะยังเป็นเกณฑ์เดิมคือประมาณ 90 % สำหรับการขอกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้าน) หลังแรก แต่หากมีการออกมาตรการ LTV ใหม่ที่ต่ำกว่า 90 % ก็น่าจะคุมเข้มบ้านหลังที่สองที่สาม ซึ่งจะคล้ายๆ กับต่างประเทศคือ กำหนด LTV อยู่ที่ 70-85 %

“ยอมรับว่าในตลาดมีกลุ่มคนที่เรียกว่า โค้ชสอนลงทุน ได้รวบรวมคน 10 คน 20 คนลงขันมาเหมาห้องชุดหรือสต็อกเหลือขายจากดีเวลลอปเปอร์ในราคาส่วนลดพิเศษ 10-20 % ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่คนที่ถูกชวนมาซื้ออาจถูกหลอกได้ ” นายพีระพงศ์ กล่าวให้ความเห็น

 

สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทออริจิ้นฯ ไม่ว่าแบงก์จะมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ หรือจะมีการกำหนดเกณฑ์ LTV ใหม่ หากกระทบก็มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะลูกค้าประมาณ 40 % ซื้อด้วยเงินสด ทำให้ไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกอบกับที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวมาตลอด และคงไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุน ซึ่งขณะนี้บริษัทออริจิ้นฯได้เตรียมที่ดินเพื่อรองรับแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 แล้วรวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 30,000-32,000 ล้านบาท (ลบ.) แบ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดประมาณ 15,000 ล้านบาท ส่วนที่บริษัทฯ พัฒนาเองรวมมูลค่าประมาณ 15,000-17,000 ล้านบาท โดยไม่รวมโครงการ พาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ที่เดิมมีแผนจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2561 แต่ต้องเลื่อนไปเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1/2562 แทน

 

ทั้งนี้ โครงการที่จะเปิดในปี 2562 ยังคงเน้นตลาดระดับกลาง-บน ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบ และแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียม เนื่องจากสินค้าในกลุ่มดังกล่าวมีกำลังซื้อต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงต่ำกว่าระดับกลาง-ล่าง ส่วนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียมนั้นยังเน้นลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ จากการที่บริษัทฯ เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนมากขึ้น ทำให้ระดับราคาสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.5 ล้านบาทในปี 2560 เป็น ราคาเฉลี่ยที่ 5 ล้านบาทในปี 2561 และเมื่อรวมระดับราคาขายคอนโดฯ ในโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เข้าไประดับราคาขายเฉลี่ยน่าจะปรับเพิ่มขึ้นกว่า 6 ล้านบาท

ขายเหมาตึก A 370 ยูนิตให้ “ฟัลครัมฯ” มูลค่า 3,500 ล. คาดปิดขายทั้งโครงการกลางปี 62

โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ เป็นโครงการใหม่ล่าสุดที่เปิดตัว และเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรี่ 3 อาคาร มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 5 ไร่ ซอยทองหล่อ 10 (ที่ดินโครงการ Arena 10 เดิม) ประกอบด้วยอาคารสูง 39 ชั้น 1 อาคาร 53 ชั้น 1 อาคาร และ 59 ชั้น 1 อาคาร รวม 1,182 ยูนิต ตัวห้องมีแบบ 1-3 ห้องนอน (เพนท์เฮาส์) ขนาดตั้งแต่ 30-97 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขายเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตร.ม. จะเปิดพรีเซลใน พฤศจิกายน 2561  นี้ ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 60 % และคาดว่าจะปิดการขายได้ 100 % ในกลางปี 2562  ส่วนงานด้านการก่อสร้างคาดเริ่มก่อสร้างช่วงไตรมาส 2/2562 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 4/2564

 

ใน 3 อาคาร โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ได้ขายยกอาคาร (อาคาร A ) จำนวน 370 ยูนิตให้กับบริษัทฟัลครัม โกลบอล จำกัด (Fulcrum Global) รวมมูลค่าประมาณ 3,500  ล้านบาท ส่วนที่เหลืออาคาร B, C นั้น บริษัทออริจิ้นฯ และพันธมิตรบริษัท โนมูระฯ จะช่วยกันทำการตลาดและขาย แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนของต่างชาติที่ซื้อห้องชุดในโครงการน่าจะอยู่ประมาณ 35-40 %  ทั้งนี้ บริษัทฟัลครัมฯ เป็นบริษัทชั้นนำด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์นานาชาติสัญชาติฮ่องกง ให้เป็นผู้ลงทุน (Investor) และผู้บริหารงานขาย (Distributor) โครงการแฟล็กชิพ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ของออริจิ้น

 

มั่นใจทำเล-บริการระดับโรงแรม 5  ดาว สร้างจุดต่างคู่แข่ง

นายพีระพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า แม้ปัจจุบันจะมีซัพพลายใหม่ในย่านทองหล่อออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มั่นใจจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ แล้วยังนำบริการระดับโรงแรมเข้ามาให้บริการภายในโครงการคอนโดมิเนียม แบบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วันของสัปดาห์ ผ่านการฝึกอบรม และความร่วมมือจากเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล ทางเครือจะช่วยฝึกอบรมทักษะด้านบริการให้กับพนักงานของบริษัท วัน พญาไท จำกัด ในเครือ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ประจำอยู่ ณ Hotel Indigo พญาไท ซึ่งบริหารจัดการโดยเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล จากนั้นพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมแล้วกลุ่มนั้น จะมาเป็นผู้สอนให้แก่พนักงานบริการ 4 กลุ่มที่โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ได้แก่  1. พนักงานลูกค้าสัมพันธ์ (Guest relations)  2. พนักงานอำนวยความสะดวก (Concierge)  3. พนักงานทำความสะอาด (HOUSEKEEPING) และ  4. ช่างประจำโครงการ (ENGINEERING) ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย เสมือนกำลังพักผ่อนอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว

“นอกจากบริการระดับโรงแรมแล้ว ตัวโครงการยังมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้พักอาศัย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางรวมเกือบ 60 รายการ โดยอาคารทั้ง 3 อาคาร ยังถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกัน และไล่ระดับความสูง ซึ่งตัวอาคารที่สูงที่สุด สูงถึง 59 ชั้น ทำให้โครงการดูโดดเด่น เป็นอีกหนึ่งแฟล็กชิพ และแลนด์มาร์คของย่านทองหล่อ” นายพีระพงศ์ กล่าว

 

พร้อมกันนี้ นายพีระพงศ์ ยังกล่าวในตอนท้ายว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 นี้ บริษัทออริจิ้นฯ มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย (Britania)  จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บนพื้นที่กว่า 60 ไร่ พัฒนาเป็น ทาวน์โฮมราคาประมาณ 3 ล้านบาท โฮมออฟฟิศ ราคาประมาณ 4 ล้านบาท บ้านเดี่ยว ราคาประมาณ 7 ล้านบาท และบ้านแฝดราคาประมาณ 5 ล้านบาท รวมจำนวนทั้งสิ้น 500 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,000 ล้านบาท และโครงการ บริทาเนีย บางนา (บางนา กม. 12) บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 7.5 ล้านบาท จำนวน 200 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทออริจิ้นฯ ยังคงเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท และมียอดขายที่ประมาณ 24,000 ล้านบาท