อีสเทอร์น สตาร์ฯ ไม่หวั่นธปท. เตรียมเรียกแบงก์พาณิชย์เข้าพบ คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ มั่นใจระบบประเมินเป็นไปตามมาตรฐาน ขณะที่ลูกค้าบริษัทระดับราคา 3-7 ล้านบาทขึ้นไป มีกำลังซื้อสูง ยอด Reject ต่ำกว่า 10% ส่วนโควตาเอเจนซี่ซื้อยกล็อตขายต่างชาติต้องสกรีนก่อนขายป้องกันการเกิดดีมานด์เทียม เปิดแผนปี 62 จ่อผุดคอนโดฯ ใกล้แนวรถไฟฟ้า 3-4 โครงการ หวังสร้างการรับรู้แบรนด์ ประกาศ 8 เดือนกวาดยอดขายแล้ว 2,000 ล้านบาท เกินเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้  1,600  ล้านบาท ไตรมาส 4 เตรียมเปิดตัวแนวราบแบรนด์  “ESTARA” มูลค่า 1,500 ล้านบาท

 

 

นายต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR  เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเชิญธนาคารพาณิชย์ และผู้ประกอบการอสังหาฯ เข้าไปหารือเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งลดความเข้มงวดลง ทำให้ธปท. ต้องควบคุมธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างเข้มงวดนั้น บริษัทมองว่าผลกระทบอาจจะอยู่ในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-2 ล้านบาท ที่อาจจะต้องมีการติดตามอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่โดยปกติธนาคารพาณิชย์มีเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชี่อที่มีระบบในการประเมินตามมาตรฐานอยู่แล้ว และมองว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มีการลดหย่อนเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งมีการปล่อยสินเชื่อให้ตามเกณฑ์ของลูกค้าแต่ละรายที่เหมาะสม  สำหรับบริษัทฯ เองนั้นจะเน้นพัฒนาโครงการในระดับราคา 3-7 ล้านบาทขึ้นไป  เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้บริษัทไม่มีผลกระทบด้วย และอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (Reject) ของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทยังต่ำกว่า 10%

 

ส่วนการขายยูนิตในคอนโดมิเนียมแบบเหมาล็อตให้กับลูกค้า และลูกค้านำไปขายต่อนั้น ในโครงการของบริษัทก็มีการขายในรูปแบบดังกล่าว แต่จะค่อนข้างสกรีนก่อน เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดดีมานด์เทียม โดยที่ผ่านมาได้มีเอเจนซี่ต่างชาติซื้อห้องชุดในโครงการ Quintara Treehaus สุขุมวิท 42 แบบเหมาล็อตเต็มโควตาต่างชาติ ไปขายต่อให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ อาทิ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน  จำนวนประมาณ 100 กว่ายูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 600-800 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของบริษัทนั้นถือว่าไม่มีความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว เพราะเอเจนซี่ได้นำไปขายต่อให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยเอง และเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อทั้งหมด ซึ่งจะไม่กระทบต่อการโอนโครงการดังกล่าวที่มีกำหนดสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2562 หรือต้นปี 2563

        

 

สำหรับแผนงานเบื้องต้นในปี 2562 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ 3-4 โครงการ ซึ่งจะเน้นเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ในกรุงเทพฯ ใกล้รถไฟฟ้าเป็นหลัก และอาจจะมีคอนโดฯ โลว์ไรส์เพิ่มเติม เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วประมาณ 3 แปลง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยวางงบซื้อที่ดินไว้ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท

 

ส่วนการพัฒนาโครงการใน จ. ระยอง ยังคงเน้นในรูปแบบแนวราบ ระดับราคา 3-8 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งยังคงมีการพัฒนาโครงการที่ต่อเนื่องมาจากโครงการที่พัฒนาแล้ว เพราะยังมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนาอีกเกือบ 1,000 ไร่ แต่บริษัทยังรอความชัดเจนการลงทุนโครงการพัฒนาระเบียงเศษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีการลงทุนออกมาชัดเจนก่อน จึงจะเริ่มแผนการพัฒนาที่ดินผืนดังกล่าว

สำหรับในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 2561 ที่ 1,600 ล้านบาท มากกว่ายอดขายปี 2560 ถึงกว่า 2 เท่า ที่ทำได้ 1,026 ล้านบาท ซึ่งการที่ยอดขายสามารถทำได้ทะลุเป้าเป็นผลมาจากการประสบความสำเร็จการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ “Quintara Treehaus สุขุมวิท 42” มูลค่า 1,500 ล้านบาท ที่ลูกค้าชาวไทย และต่างชาติเข้ามาจองซื้อจนปิดการขายได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเศษเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4/2561 บริษัทจะเปิดโครงการแนวราบย่านพัฒนาการ 20 อีก 1 โครงการ บนพื้นที่ 20 ไร่ ภายใต้แบรนด์ “ESTARA” ในรูปแบบของทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวนเกือบ 200 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนที่คาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และสามารถผลักดันยอดขายของบริษัทให้เพิ่มขึ้นได้อีก

 

“แม้ว่าในปีนี้บริษัทจะประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย แต่ไนด้านรายได้ยอมรับว่าอาจจะต้องพยายามผลักดันให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาท หลังจากที่รายได้ในครึ่งปีแรกจะออกมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยที่มีรายได้อยู่ที่ 502 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการโอนโครงการในครึ่งปีแรกมีการโอนไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะมากระจุกตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งจะมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 600-800 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดในปัจจุบัน 2,500-3,000 กว่าล้านบาท และยังมีการขายโครงการที่เป็นสต็อกพร้อมขายที่มีมูลค่ารวม 1,700-1,800 ล้านบาท ออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการผลักดันรายได้ไห้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่าสามารถทำได้” ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวในที่สุด