แสนสิริ  ประกาศเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT)เต็มร้อย  ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป แบ่งแผนพัฒนาออกเป็น 3 ระดับตามเซกเมนต์ นำร่อง “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” โครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นโมเดลสมาร์ท เล็งนำใช้โครงการแนวราบปีหน้าต่อเนื่อง

 

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI เปิดเผยว่า บริษัทฯล็งเห็นถึงความสำคัญในเทรนด์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ จึงนำแนวคิดการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of Things เข้าไปเชื่อมต่ออุปกรณ์กับซอฟต์แวร์และบริการที่มีภายในอาคาร ตั้งแต่พื้นที่ส่วนกลางไปจนถึงภายในห้องพักอาศัย ยกระดับความสะดวกสบายและปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน และยังสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมการทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) ให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที และช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในระยะยาว

 

จากความสำคัญดังกล่าว แสนสิริจึงได้วางแผนการพัฒนาสมาร์ท คอนโดออกเป็น 3 ระดับ ตามเซกเมนต์ที่แตกต่างกันของโครงการที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ได้แก่ ระดับพื้นฐาน คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบส่วนกลางของโครงการ ระดับปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบพร้อมด้วยระบบ Building Automation System (BAS) ในการสั่งการระบบพื้นที่ส่วนกลาง ระดับสูงสุด คือสมาร์ท คอนโด ที่นำเทคโนโลยี IoT เข้ามาร่วมบริหารจัดการอาคารในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเซกเมนต์ของแต่ละแบรนด์ว่าลูกค้ามีความต้องการระดับไหน

โดยที่ผ่านมาแสนสิริฯได้นำระบบ IoT ไปทดลองใช้ใน 3 โครงการ คือ เดอะ ไลน์ ราชเทวี,เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต และเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา แต่ปรากฏว่าในที่สุดได้นำระบบดังกล่าวในระดับสูงสุดมาใช้แบบเต็ม 100% ในโครงการ “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” เป็นโครงการแรก ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)หรือ BTS  โครงการที่ 4 ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่  ซึ่งปิดการขาย100% ในวันพรีเซลวันแรก ปัจจุบันมียอดโอนแล้วเกือบ 40% เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเริ่มโอน ทั้งนี้คาดว่ายอดโอนปีนี้จะเป็นไปตามเป้า 80% ตามที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน

 

“อีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา คือ เทคโนโลยีสุดล้ำครอบคลุมทั้งการบริการจัดการระบบพลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมคาดการณ์การซ่อมบำรุง ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบระบายน้ำ ระบบการรักษาความปลอดภัย และระบบ Home Automation ภายในห้องพักอาศัยใน 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้าน” ดร.ทวิชา กล่าว

นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำระบบลงทะเบียนอัจฉริยะสำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการได้เพียงใช้คิวอาร์โค้ด โดยลูกบ้านสามารถกำหนดวันและเวลา รวมทั้งบริเวณที่ผู้มาติดต่อสามารถเข้าถึงได้ (Smart Guest Registration)นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ควบคุมระบบการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบ IoT of Building, ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง (Smart Lighting Control), ระบบควบคุมการปิด-เปิดประตูหนีไฟ (Smart Door Safety Monitoring), ระบบสมาร์ทล็อคเกอร์และตู้จ่ายพัสดุอัติโนมัติเชื่อมต่อกับ iBox (Smart Delivery), แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Smartmove และสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดยสามารถจองใช้บริการได้ง่าย ๆ บนแอพพลิเคชั่น Home Service, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Wash), เครื่องรับคืนขวดพลาสติค (Refun Machine) และระบบเทเลคอมในอาคารจอดรถ

 

“แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแบบสมาร์ท คอนโดฯให้เหนือขึ้นไปจากแผนพัฒนา 3 ระดับดังกล่าว โดยยกให้โครงการ ดิ เอดจ์ (The Edge) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโมเดลสมาร์ท คอนโดฯในอนาคตของแสนสิริฯภายในปี 2563ซึ่งโครงการดังกล่าวโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมโยงการจัดการอาคารเข้ากับผู้ใช้งานหรือผู้อาศัยที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (Personalization) ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยโครงการนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นด้านการจัดการพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก” ดร. ทวิชา กล่าว

ทั้งนี้ในปี 2562 เป็นต้นไป บริษัทฯจะนำระบบ IoT มาใช้ในโครงการคอนโดมิเนียมทุกแบรนด์ของบริษัท เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านและนิติบุคคลในโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท ซึ่งโครงที่จะนำมาติดตั้งส่วนใหญ่จะอยู่ในแบรนด์ THE LINE เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการใช้งานเทคโลโลยีเพื่อนำมาอำนวยความสะดวกมากที่สุด แต่จะมีการประเมินฟังก์ชั่นของเทคโนโลยีมาใช้แตกต่างกันออกไปในแต่ละโครงการ  ส่วนโครงการแนวราบ บริษัทฯก็มีแผนที่จะนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ในปี 2562 ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีการเปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  พร้อมกับจะมีการเปิดให้บริการชำระค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ และค่าไฟ ผ่านแอปพลิเคชั่น Home Automationภายในปลายปีนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้ามากขึ้น