แสนสิริฯเดินหน้าลงทุนธุรกิจต่อยอดอสังหาฯสร้างความแกร่ง  เผยหลังเข้าถือหุ้นกลุ่ม “เดอะ สแตนดาร์ด”35% ตั้งเป้า 5 ปี 20 สาขาหัวเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งภูเก็ต-หัวหิน คาดผลตอบแทนจากการลงทุน15-20% ด้านแอปพลิเคชั่นOne Night”เปิดตัวครั้งแรกในกทม. พิเศษลูกค้าแสนสิริฯ รับส่วนลดพิเศษถึง 30พ.ย.61 ตั้งเป้าขยายฐานครอบคลุม 30 เมืองทั่วโลกภายในสิ้นปี63

 

 

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า กระแสโลภิวัฒน์ทำให้โลกเปลี่ยนไป มีการเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของแสนสิริฯเองก็ถือเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจอสังหาฯที่ไม่หยุดนิ่ง มีการร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำอย่างต่อเนื่อง และยกระดับกลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี2560 ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนไปในธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก และอนาคตก็จะเสริมความแกร่งให้กับธุรกิจอีกอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในจำนวนนั้นคือการเข้าไปถือหุ้นในบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด (The Standard)บูทีค โฮเทล ในสัดส่วน 35% คิดเป็นมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1,900 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนของแสนสิริ ที่ผ่านมาก็เป็นการอำนวยความสะดวกและเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า

 

อย่างไรก็ตามหลังจากเข้าไปถือหุ้นแล้ว ทาง “เดอะ สแตนดาร์ด”มีแผนที่จะขยายสาขาโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทั่วโลก ซึ่งตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี จะขยายให้ได้ 10 สาขา โดยมี 2 สาขาในประเทศไทย คือที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นการเทกโอเวอร์โรงแรมเก่าบริเวณ banana beach ใกล้อุทยานแห่งชาติลายัน มารีโนเวทใหม่ และอีกแห่งคือที่หัวหิน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อีกทั้งภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าขยายให้ได้ 20 สาขาทั่วโลก ทั้งในโลเคชั่นที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง และเมืองตากอากาศชั้นนำทั่วโลก อันได้แก่ ลอนดอน ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2562 จำนวน 262 ห้องพัก นอกจากนี้ยังขยายไปที่ ปารีส, มิลาน, เบอร์ลิน, ลิสบอน ปราก แมดริด, ชิคาโก, ลาสเวกัส,  นิวออร์ลีนส์, แอตแลนต้า, ดูไบ, สิงคโปร์ ,จีน ,ฮ่องกง ,ไต้หวัน ,จาการ์ตา ,บาหลี,กรุงเทพฯ,ภูเก็ต และ หัวหิน โดยเมืองเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นทำเลที่ The Standard มีแผนดำเนินการพัฒนาโรงแรมที่เป็นรูปธรรมแล้ว หรือมีความคืบหน้าในขั้นตอนเจรจาตกลง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

 

“การร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จะช่วยส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเรา ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงบริการจากผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างแท้จริง การเปิดตัว The Standard และ One Night ในประเทศไทยคืออีกก้าวสำคัญของเรา ที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต ซึ่งจะสร้างรายได้ประจำ เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทในอนาคต และคาดว่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ประมาณ 15-20% ”นายอภิชาติ กล่าว

 

 

ด้านนายอามาร์ ลาลวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท  สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การขยายแบรนด์ The Standard    ไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่มีเอกลักษณ์  โดดเด่นสู่ผู้คนอีกมากมายซึ่งในช่วง 5 ปีเปิดให้บริการแบรนด์ “เดอะ สแตนดาร์ด”ในสหรัฐอเมริกาไปแล้ว 5 แห่ง คือ HOLLYWOOD จำนวน 139 ห้อง อัตราการเข้าพัก 97% ,DOWNTOWN LA จำนวน 207 ห้อง อัตราการเข้าพัก 125% ,MIAMI BEACH จำนวน 100 ห้อง อัตราการเข้าพัก 124% ,HIGH LINE NEW YORK 338 ห้อง อัตราการเข้าพัก 108% และ  EAST VILLAGE NEW YORK จำนวน 144 ห้อง อัตราการเข้าพัก 119% ส่วนที่ LONDON จะเปิดให้บริการในไตรมาส 1/2562 มีจำนวน 262 ห้อง

 

อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนโรงแรมทั้งหมด 6 แห่งและห้องพักรวมกันกว่า 1,200 ห้อง (รวมโรงแรมแห่งใหม่ที่จะเปิดในลอนดอน) The Standard สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 200 ล้านดอลล่าร์ หรือ 6,600 ล้านบาท มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 85% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต 121% โดยทุกสาขามีอัตราที่ใกล้เคียงกัน  The Standard   ยังมีสัดส่วนการจองห้องพักจากลูกค้าโดยตรงและการกลับมาใช้บริการซ้ำของแขกที่สูงเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสะท้อน  ความแข็งแกร่งของแบรนด์ซึ่งโดดเด่นกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ

“สำหรับประเทศไทย เรามีแผนเปิดโรงแรม The Standard แห่งแรกที่ภูเก็ต ซึ่งนอกจากโรงแรมแล้ว ยังมี Standard Residences ซึ่งเราพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ความร่วมมือกับแสนสิริ ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่ามาเยี่ยมเยือน รวมถึงจำนวนของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จึงเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ The Standard เมื่อประกอบเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคของเราเพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจทั้งหมดในแถบเอเชียและตะวันออกกลาง”นายอามาร์ กล่าวในที่สุด

 

นายจิมมี่ ซูฮ์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง One Night แอปพลิเคชั่นจองโรงแรมภายในวันเดียวกับที่เข้าพัก กล่าวว่า ได้ขยายมาเปิดตัวแอปพลิเคชั่น “One Night” ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังเป็นการผลักดันให้การพักในโรงแรมกลายเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เพื่อหลีกหนีจากชีวิตประจำวันที่จำเจ ตามเทรนด์ Staycation ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นตัวแอปพลิเคชั่น ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่น่าสนใจบริเวณโดยรอบโรงแรมอีกด้วย

 

สำหรับ One Night ที่เปิดตัวในกรุงเทพฯ ได้รวบรวมโรงแรมอิสระที่ดีที่สุด 16 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมอาคิระ สุขุมวิท, โรงแรมอาคิระ ทองหล่อ, แบงค็อก ริเวอร์ไซด์, ปาเฮ่า เกสต์เฮาส์ เยาวราช, โรงแรมคาโบชอง, โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ, ริว่าอรุณ, ริวา เซอร์ยา, เซี่ยงไฮ้แมนชั่น, เดอะสยาม, สยามแอทสยาม, โรงแรมสุโขทัย, โรงแรม เดอะ สุโกศล, 137 พิลล่าร์ สวีท แอนด์ เรสซิเด้นซ์, โรงแรมอำแดง, จอช โฮเทล และวันเดย์ โฮสเทล ลูกค้าแสนสิริสามารถรับสิทธิพิเศษสำหรับการจองโรงแรมในกรุงเทพมหานครผ่านแอปพลิเคชั่น One Night ได้ระหว่างวันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2561 ด้วยส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท สำหรับลูกค้า Sansiri Family และส่วนลด 1,500 บาทสำหรับลูกค้า Siri Priority

 

นอกเหนือจากกรุงเทพฯ ปัจจุบัน One Night ได้เปิดให้บริการแล้วในอีก 15 เมืองหลักในสหรัฐอเมริกา และลอนดอน ครอบคลุมโรงแรมอิสระกว่า 170 แห่ง และมีแผนขยายขอบข่ายให้ครอบคลุม 30 เมืองทั่วโลก รวมทั้งในเอเชีย   และยุโรป ภายในสิ้นปี 2563