ชาวต่างชาติยังสนใจซื้ออาคารชุดของไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี2561 มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท ใกล้เคียงปี 2560 ทั้งปีอยู่ที่ 70,758 ล้านบาท

 

ในช่วงปีที่ผ่านมาและจะยังต่อเนื่องมาจนถึงปี 2562 หนึ่งในประเด็นที่มีการพูดถึงกันมากที่สุดในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั่นคือ อุปสงค์ (Demand)ชาวต่างชาติต่อตลาดอาคารชุดไทย(คอนโดมิเนียม) ซึ่งพบว่ามีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากข้อมูลในบทความของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หรือ แบงก์ชาติ ที่ระบุว่า ภาวะอุปสงค์ชาวต่างชาติจากมูลค่าการซื้อเงินบาทของชาวต่างชาติเพื่อชำระค่าอาคารชุดและมูลค่าการถอนเงินจากบัญชีเงินบาทของชาวต่างชาติเพื่อซื้ออาคารชุด ซึ่งเป็นทั้งเงินดาวน์และเงินเพื่อซื้ออาคารชุด (มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุด) ของไทยเรงขึ้นมาก โดยมูลค่าการโอนเพื่อซื้ออาคารชุดปี 2560 อยู่ที่ 70,758 ล้านบาท (ลบ.)เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่ 53,259 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวที่ 33 % (YoY) สูงกว่าการขยายตัวปี 2555-2559 ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% และในปี 2560 สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติคิดเป็น 27 % ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดทั่ประเทศ ซึ่งสูงกว่าปี2559 ที่ 21 %

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้สัดส่วนการซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาติปรับเพิ่มขึ้น นอกจากอุปสงค์ของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งมาจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวด้วย  และ ณ ไตรมาส 3 ปี 2561 มูลค่าการการโอนเพื่อซื้ออาคารชุดอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวให้ความเห็นว่า ตลาดผู้ซื้อต่างชาติมีลักษณะเปลี่ยนแปลงให้เห็นเด่นชัดเมื่อ 4-5 ปีก่อน โดยก่อนหน้าปี 2557 ผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชาวตะวันตก แต่ช่วงหลังๆในจำนวนโควต้า 49 % ที่เปิดให้ชาวต่างชาติซื้อได้นั้นเป็นกลุ่มผู้ซื้อคนจีน 70-80 % ขึ้นอยู่กับทำเล และในปี 2561 ที่ผ่านมามูลค่าการซื้อคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติน่าจะใกล้เคียงกับช่วงปี 2560 หรือหากเติบโตก็คงไม่มากนัก

 

“ปัจจุบันชาวต่างชาติที่ซื้อจะกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆตามการขยายการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งจะต่างจากอดีตที่กระจุกอยู่เพียงบางทำเลเท่านั้น” นายวิทย์ กล่าว พร้อมกับให้ความเห็นด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในอสังหาฯจากจีน ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย หากแต่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก นั่นเป็นเพราะรายได้ของชาวจีนเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวในช่วงที่ผ่านมาจึงแสวงหาผลตอบทานที่สูง และที่สนใจซื้ออาคารชุดในประเทศไทย เพราะราคายังต่ำเมือ่เทียบกับประเทศอื่นที่อยู่ใกล้เคียง

 

ส่วนปี 2562 นั้นมองว่าอุปสงค์จากต่างชาติโดยเฉพาะจีนที่อาจชะลอลงนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาภายในที่เกิดขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีตลาดอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ และคนอินเดียก็นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเป็นอันดับต้นๆ “พฤติกรรมคนอินเดียในการซื้ออสังหาฯของคนอินเดียจะต่างจากคนจีน คือ แม้จะไม่ซื้อ ไม่เช่าแต่ก็น่าสนใจและ ตลาดอินเดียต้องรอไปอีก 3-4 ปีน่าจะดีขึ้น” นายวิทย์ กล่าวให้ความเห็น

 

ด้านนายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัทกานดา พร็อพเพอตี้ จำกัด กล่าวให้ความเห็นความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนตัวมองว่าได้ช่วยให้อาคารชุดคงค้างในตลาดลดลง  แต่โดยภาพรวมแล้วการเจาะกลุ่มคนซื้อต่างชาติ เป็นเพียงบางส่วน ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนรายได้หลักของผู้ประกอบการที่ทำคอนโดมิเนียมขายยังคงมาจากผู้ซื้อในประเทศมากกว่า

 

สำหรับความกังวลของหลายฝ่ายที่ว่า จะเกิดปัญหาไม่โอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนนั้น นายอิสระ กล่าวให้ความเห็นว่า  อาจมีบ้าง ส่วนจะร้ายแรงถึงขั้นส่งผลกระทบด้านลบต่อฐานะการเงินของผู้ประกอบการ มองว่าไม่ได้กระทบกับผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ประกอบการที่พัฒนาคอนโดฯขายส่วนใหญ่ก็อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

 

ความเห็นของนายอิสระ ต่อประเด็นดังกล่าวนั้นสอดคล้องกับผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายที่ขายคอนโดฯให้กลุ่มผู้ซื้อต่างชาติ ว่า กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติและกลุ่มลูกค้าจีนที่ซื้อ ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า ส่วนการซื้อใบจองเพื่อเก็งกำไรนั้นมีน้อยมากแทบไม่มี และก็ได้ป้องกันไว้แล้ว ด้วยการเก็บเงินดาวน์ในอัตรา 25-30 % สูงกว่าที่เก็บเงินดาวน์กับลูกค้าคนไทย การเก็บดาวน์ที่สูงนี้ก็จะปลอดภัยระดับหนึ่งหากลูกค้าต่างชาติทิ้งดาวน์ ไม่โอนกรรมสิทธิ์เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ