แอล.พี.เอ็น.ฯชี้บรรยากาศการลงทุนอสังหาฯปี 2562 ยังไม่สดใส หลังปรับแผนรับมือมา 2 ปี กระจายทุกเซกเมนต์ลดความเสี่ยง เปิดแผนปีนี้ผุด 16 โครงการ รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายแตะ 16,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 13,500 ล้านบาท เติบโต20%

 

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN   เปิดเผยว่า จากสภาวะการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่ในภาวะถดถอย บรรยากาศการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯในปัจจุบันเริ่มไม่สดใสเหมือนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา  ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะที่ดินติดถนนราคาไม่ต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางวา ทำให้ราคาคอนโดฯพุ่งขึ้นไปสูงมาก  โดยราคาถูกสุดจะอยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อยูนิต ส่งผลให้ต้องไปพึ่งพิงตลาดต่างชาติ และมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวไปจนถึงปลายปี2562 ทำให้การลงทุนในช่วงนี้มีความเสี่ยง ซึ่งสิ่งสำคัญในการลงทุนในภาวะนี้คือสภาพคล่อง โดยเฉพาะธุรกิจคอนโดมิเนียม ที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะต้องลงทุนก่อสร้างจนแล้วเสร็จ จึงจะสามารถรับรู้รายได้ และจากประสบการณ์ของบริษัทฯที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 จึงได้ปรับแผนรับมือมาตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยการกระจายการลงทุนไปยังเซกเมนต์อื่นมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงนอกเหนือจากการลงทุนคอนโดฯเพียงอย่างเดียว

 

“ความคิดของLPN ตรงกับผู้ประกอบการระดับบิ๊กในวงการอสังหาฯคือ ในปีนี้ไม่ควรทำอะไรที่เกินตัว แต่ก็เชื่อว่าอสังหาฯยังเป็นธุรกิจที่หอมหวาน ผู้ประกอบการบางรายมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ แต่LPNก็ตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาได้ 2 ปีแล้ว บริษัทจึงมีการปรับโมเดลและวางแผนธุรกิจภายใต้แนวทาง Year of Shift และ Year of Change ในปี 2560-2561  เพื่อรองรับสถานการณ์และสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นทั้งจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, Recurring Income และธุรกิจบริการ ส่งผลให้ L.P.N. DEVELOPMENT GROUP เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่เน้นการทำธุรกิจอย่างครบวงจร”นายโอภาส กล่าว

 

 

นายโอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการพัฒนาคอนโดฯมีตัวเลือกไม่มากนัก เพราะตลาดกลาง-ล่างชะลอตัวลงไปมาก ดังนั้นขณะนี้จึงเหลือเพียงตลาดระดับกลาง-บน ที่ยังสามารถทำตลาดได้ สำหรับบริษัทฯเอง ปัจจุบันมีรายได้จากการลงทุนใน 3 ธุรกิจ โดยรายได้หลักมาจากคอนโดฯ รองลงมาเป็นบ้านแนวราบ และธุรกิจบริการ

 

สำหรับปี 2562 นี้ ภาพของสภาวะถดถอยยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น LPN จึงได้เตรียมแผนรองรับปัจจัยลบต่างๆ ไว้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนโดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10% ด้วยการเปิดตัวโครงการให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Value และ Standard เพื่อกระจายความเสี่ยง ในขณะเดียวกันก็ระมัดระวังในการเลือกทำเลเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพตามกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความสำเร็จของโครงการ  โดยข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจทั้งหมดสนับสนุนโดย  LPN Wisdom  หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาโครงการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง เนื่องจากสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมดของ LPN มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ไม่มีภาระทางด้านการเงิน นอกจากนั้น บริษัทได้รับการจัดอันดับจาก TRIS Rating ในระดับ A- (Stable) ที่แสดงถึงความมั่นคงและน่าเชื่อถือทางการเงินซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการระดมทุนหากบริษัทมีการออกหุ้นกู้ในอนาคต

 

โดยแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2562 นี้ ตั้งเป้าเปิดตัวใหม่ รวม 16 โครงการ รวมมูลค่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 10 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยพัฒนาภายใต้แบรนด์ “พรสันติ” 8 โครงการ ราคา 2-10 ล้านบาท  ส่วนอีก 2 โครงการเป็นแบรนด์ “BAAN 365” ราคา 15-20 ล้านบาท  และคอนโดฯ 6 โครงการ แบ่งเป็นแบรนด์ “ลุมพินี เพลส” 3 โครงการ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท,ลุมพินี วิลล์ 1โครงการ ระดับราคา 1.2-1.5 ล้านบาท ,แบรนด์ “ซีเล็คเต็ด” 1 โครงการ ระดับราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป  และอาคารสำนักงานเพื่อขาย แบรนด์ “ลุมพินี ทาวน์เวอร์” ย่านวิภาวดี สูง 20 ชั้นขึ้นไป ระดับราคา 100,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป

 

ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าซื้อที่ดินจำนวน 4,000 ล้านบาท จากปี 2561 ที่ใช้งบซื้อที่ดินไปกว่า 5,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแนวราบไปแล้ว 2 แปลง คือที่ลาดพระบัง และย่านสะพานใหม่

 

ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกสินค้าก่อสร้างแล้วเสร็จมูลค่า 7,000 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ 5,500 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นระดับราคา 1 ล้านบาท(+,-) จำนวน 5,000 ยูนิต และระดับราคา 3.6 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 500 ยูนิต ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะนำกลยุทธ์ทางการตลาดจัดแพคเก็จให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มระดับราคา 1 ล้านบาทบวกลบ มีความต้องการขอสินเชื่อได้ 100% หรือไม่ต้องการจ่ายเงินดาวน์ ส่วนคอนโดฯระดับบน จะสนใจในเรื่องส่วนลดราคาเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

ส่วนเป้ายอดขายในปี 2562 บริษัทฯไว้ที่ 16,500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดฯ 11,000 ล้านบาท และแนวราบ 5,500 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายรายได้ วางไว้ที่ 13,500 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากคอนโดฯ 9,000 ล้านบาท ,โครงการแนวราบ 3,000 ล้านบาท และรายได้จากค่าเช่า 1,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 20%

 

 

อนึ่ง กลยุทธ์ที่LPN ได้ปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์การชะลอตัวของตลาด ได้แก่

 

1. การขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังระดับบน ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัย โดยได้พัฒนาบ้านพรีเมียมเป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365” กับคอนเซ็ปต์ “Livable Simple Luxury” ซึ่งสามารถสร้างยอดขายในช่วง Presale ได้มากกว่า 50% จนได้รับการกล่าวขานเป็น Talk of the Town ในวงการอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับบน และขยายเซ็กเมนท์ไปยังกลุ่ม Gen Y ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ภายใต้ซับแบรนด์ “Lumpini Selected” ซึ่งได้ส่งมอบโครงการแรกที่เกษตร-งามวงศ์วานแล้วในปีที่ผ่านมา และต่อยอดไปยังย่านสุทธิสาร-สะพานควายที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้หญิงรุ่นใหม่

 

2.การขยายธุรกิจไปยัง“Office Condo” พร้อมบริการวางระบบ Office Smart ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ นำร่องด้วย อาคาร “ลุมพินี ทาวเวอร์ วิภาวดี” อาคาร A ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้สนใจหลายรายที่ต้องการซื้อยกตึก โดยในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา

 

3.การสร้างรายได้ประจำ(Recurring Income) จากการบริหารโครงการของบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด และรายได้จากการปล่อยเช่า รวมถึงการนำห้องชุดในโครงการ “ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1” อาคาร F มาปรับเปลี่ยนจากการขายมาเป็นการเช่า โดยได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้เช่า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเสมือนการพักอาศัยในคอนโดมิเนียม