เอ็น.ซี.ฯประกาศแผนปี62 ผุด 4-5 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท  ปักหมุดทำเลเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ได้แก่ กรุงเทพฯโซนเหนือ-โซนตะวันตก-ชลบุรี ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง-รองรับสังคมผู้สูงวัย ชูจุดขายเน้นความคุ้มค่าอยู่อาศัยจากราคาที่ดินปรับตัวสูง ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 2,800 ล้านบาท รับรู้รายได้ 1,800 ล้านบาท

 

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ว่าถือเป็นปีที่ท้าทาย และเข้าสู่โหมดการปรับตัว ในหลายปัจจัยของธุรกิจที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรการคุมเข้มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV) ของ ธปท, มาตรการคุมเข้มเงินดาวน์,สินเชื่อที่อยู่อาศัย  ต้องวางเงินสูงขึ้นของผู้ซื้อบ้าน แต่เชื่อมั่นอสังหาริมทรัพย์ยังโตได้ แต่จะโตแบบทรงตัว ต้องมีความระมัดระวัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับฐานธุรกิจตัวเอง ซึ่งจะเป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง มีปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคภาคคมนาคม ผลักดันให้เศรษฐกิจภาพรวมอสังหาริมทรัพย์กระเตื้องขึ้นตามลำดับ มีความคืบหน้าและเห็นอย่างเป็นรูปธรรมโครงการรถไฟฟ้า หลายสาย เขตเมือง และเชื่อมต่อปริมณฑลเข้าสู่เมืองชั้นในที่เร่งดำเนินการเกิดการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพ และปริมณฑลให้เติบโตควบคู่ ไปกับการขยายโครงการ

 

“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของผู้ประกอบการ การเติบโตยังเป็นไปต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเซกเมนต์  แต่แนวสูงจะชะลอตัวลง เพราะผู้ประกอบการหันมาพัฒนาแนวราบกันมากขึ้น ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น แต่ผู้บริโภคก็จะได้รับผลประโยชน์มากขึ้น และได้รับสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล ส่วนปัจจัยลบก็จะมาจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน,การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง  ซึ่งเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น”นายสมนึก กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี2562 บริษัทฯจะเปิดตัว 4-5 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ในทำเลเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ได้แก่ กรุงเทพฯโซนเหนือ,โซนตะวันตก และจังหวัดชลบุรี โดยเน้นรูปแบบของบ้านเดี่ยว ระดับราคา 5 ล้านบาทบวกลบ สัดส่วนกว่า 20% ,บ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท สัดส่วนกว่า 20% และทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 2 ล้านบาทบวกลบ สัดส่วนประมาณ 50% ขณะนี้มีที่ดินรองรับหมดเรียบร้อยแล้ว โดยสินค้าจะเน้นความคุ้มค่าของการอยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งด้านการออกแบบ วัสดุก่อสร้าง และพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อีกทั้งสินค้าต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยซึ่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้น เป็นอันดับ3 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่เป็นกลุ่มที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน และมีการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ

 

“ลูกค้ายังมีความต้องที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีโฉนดมากกว่าแนวสูง โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ยังเป็นสินค้าที่จับต้องได้ ซึ่งจากมาตรการLTV ส่งผลให้ในปีนี้เอ็น.ซีฯจะหันมาทำบ้านสั่งสร้างมากขึ้น จากเดิมที่จะเน้นบ้านพร้อมอยู่กับบ้านสั่งสร้างในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน”นายสมนึก กล่าว

นายสมนึก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาตินั้น ที่ผ่านมามีเข้ามาเจรจากับบริษัทเป็นจำนวนหลายราย ทั้งจากเอเชียและยุโรป แต่คงต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจ ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยยังมีความน่าลงทุนสำหรับชาวต่างชาติ เพราะปัจจุบันที่อยู่อาศัยในประเทศไทยนั้นลูกค้าไม่ใช่มีเฉพาะคนไทย และมีชาวต่างชาติที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก

 

อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯมี Backlog มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท คาดว่าจะโอนทั้งหมดภายในไตรมาส1/2562 และในปีนี้มีสต๊อกรวมทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสต๊อกพร้อมโอนภายในระยะเวลา 1-3 เดือน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 700-800 ล้านบาท จากทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่า 9,000 ล้านบาท และมียอดขายแล้ว 5,000 ล้านบาท  โดยในปี2562 นี้บริษัทฯคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ 2,800 ล้านบาท และรับรู้รายได้ที่ 1,800 ล้านบาท จากปี 2561  ที่ทำยอดขายได้ 2,532 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 1,782 ล้านบาท