ศุภาลัยฯเปิดแผนปีหมูทองผุด 34 โครงการ ในกทม.-ปริมณฑล-ตจว. รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ระบุโครงการดีลประวัติศาสตร์บนที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย “ศุภาลัย ไอคอน สาทร”พร้อมเปิดพรีเซลคอนโดฯเม.ย.-พ.ค.นี้ ทั้งเล็งขยายฐานอสังหาฯตลาดเอเชียต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายปี62 แตะ 35,000 ล้านบาท และรายได้  28,000 ล้านบาท

ดร.ประทีป  ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI เปิดเผยถึง ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศปี2562 ว่า เพียงแค่ชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตเช่นปี 2540 ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ อาทิ มาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV)ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ซึ่งบริษัทฯในส่วนของบริษัทฯเองไม่ค่อยกังวล เพราะส่วนใหญ่จะวางเงินดาวน์ คอนโดฯ 15-20% อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวมีผลน้อยกระทบกว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย 1%  ที่จะส่งผลกระทบให้กำลังซื้อชะลอตัวแน่นอน ดังนั้นมองว่าในส่วนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ถือว่ายังไม่มากนัก อยู่ในภาวะทรงตัวในอัตราที่ต่ำ 

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2562 เตรียมเปิดตัวใหม่จำนวน 34 โครงการ  แยกเป็นโครงการแนวราบ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวน 28 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท เพิ่มจากปี2561ที่ผ่านมาที่มีมูลค่ารวม 25,980 ล้านบาท 

โดยในจำนวนโครงการที่เปิดตัวในปีนี้คือ โครงการ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานทูตออสเตรเลียเดิม บนพื้นที่ 7 ไร่เศษ มูลค่าโครงการประมาณ 20,000  ล้านบาท ขณะนี้ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.คอนโดฯ 1 อาคาร สูงกว่า 50 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 40-800 ตารางเมตร ด้านราคาขายยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยจะเปิดพรีเซลในปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม 2562 นี้ 2.อาคารสำนักงานเกรดเอ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่พรีเมียมกว่าทุกโครงการที่ศุภาลัยเคยพัฒนามา มีพื้นที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร และ3.จะเป็นส่วนของรีเทล แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ โดยอยู่ในระหว่างการการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งหลังผ่านแล้วจึงเร่ิมดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ปี

 

ส่วนกลยุทธ์การเข้าไปลงทุนโครงการในภูมิภาคต่างๆ นั้น บริษัทยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มเติมไปยังหัวเมืองหลักตามภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยในปีนี้จะพัฒนาในจังหวัดใหม่ ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในจังหวัดที่ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา          สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีความมั่นใจว่าจังหวัดดังกล่าวข้างต้น มีพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง         มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯเน้นการลงทุนในระยะยาว ส่งผลให้มีสัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 27% ของเป้าการขายรวมของกลุ่มบริษัทฯ

“การที่เรารุกตลาดต่างจังหวัด เพราะมองว่ามีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่า กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ,เป็นการเพิ่มศักยภาพการเติบโตของบริษัท และกระจายความเสี่ยงของบริษัท โดยที่ผ่านมาจะเน้นการพัฒนาครอบคลุมทุกทิศของประเทศ ในทุกระดับสินค้า ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ปัจจุบันเข้าไปพัฒนาแล้ว 20 จังหวัดๆละไม่ต่ำกว่า 3 โครงการ หากเป็นจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว จะมีการพัฒนามากกว่า 10 โครงการ ส่วนการที่มีผู้ประกอบการบางรายเพิ่งจะมีแผนเข้าไปพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดนั้น มองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่คุ้ม หากเทียบกับศุภาลัยฯแล้วเราเข้าไปลงทุนในต่างจังหวัดหลายสิบปีแล้ว”ดร.ประทีป กล่าว 

 

ส่วนตลาดต่างประเทศยังเน้นลงทุนในออสเตรเลีย อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาพัฒนาไปแล้ว 9 โครงการ จาก 4 เมือง  คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ยังสนใจลงทุนประเทศอื่นในเอเชียด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาส  โดยการลงทุนในต่างประเทศจะไม่เกิน 10% ของการลงทุนรวมของทั้งบริษัท 

ด้านนายราชัย ปิยวาจานุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการภูมิภาค 1 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI  ซึ่งบริหารโครงการในจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ด้วยจุดแข็งที่โดดเด่นของจังหวัดเชียงราย ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจการค้า กับประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เมียนมา และ สปป.ลาว อีกทั้งยังมีความพร้อมระบบการคมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนและสามารถเติบโตในทิศทางที่ดี  และการแข่งขันยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเชียงใหม่  ปัจจุบันทั้งจังหวัดมีสต๊อกโครงการแนวราบเหลือขาย 1,600 ยูนิต จากทั้งหมด 4,000 ยูนิต  ซึ่งศุภาลัยจึงยังมีโอกาสในการพัฒนา โดยเน้นราคาขายระดับ 3-6 ล้านบาท ปัจจุบันราคาที่ดินย่านชานเมืองเชียงราย อยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท/ไร่ และมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯเข้ามาพัมนาประมาณ 6 รายเท่านั้น 

 

โดยโครงการแรกที่บริษัทฯเข้ามาพัฒนาคือ“ศุภาลัย พาร์ควิลล์ แม่กรณ์-เชียงราย”ตั้งอยู่บนพื้นที่ 86 ไร่  พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว ขนาด 50-90 ตารางวา ราคา 3.2-8 ล้านบาท และบ้านแฝด ขนาด 36 ตารางวา ราคา 2.89 ล้านบาท รวม 408 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดพรีเซลไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 400 ล้านบาท 

อีกทั้งในปี 2562 เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ คือ “ศุภาลัย เบลล่า แม่กรณ์-เชียงราย”  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 40 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ขนาดตั้งแต่ 18-60 ตารางวา ราคาขายตั้งแต่ 1.8-4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 366 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในเดือนตุลาคม 2562 และ “ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นางแล-เชียงราย” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 67 ไร่  พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว บ้านแฝด รวม 301 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาทขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ โดยจะเปิดขายในเดือนตุลาคม 2562 นี้ 

ดร.ประทีป กล่าวเพิ่มเติมถึง ผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อย ในปี 2561 ที่ผ่านมาว่า ประสบความสำเร็จด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำยอดขายได้พุ่งทะลุเป้ากว่า 33,343 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 17,282 ล้านบาท และแนวราบ 16,061 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 25 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 22 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 25,810 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 5,770 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมและแนวราบโครงการต่างๆ จำนวน 7 โครงการ แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เติบโตขึ้น 4 % ส่วนของ     ผู้ถือหุ้นเติบโต 22 % โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 39 % ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.39 % ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 42,529 ล้านบาท      ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต ส่วนปี 2562 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท และเป้ารายได้รวม 28,000 ล้านบาท