อดีตผู้บริหารเทสโก้ โลตัส “วิทยา พรหมชนก” ผนึกกลุ่มออปโป้รุกธุรกิจอสังหาฯ เปิดแผนพัฒนาปีละ2-3โครงการ ปักหมุดทำเลสุขสวัสดิ์ ชูยุทธศาสตร์การแข่งขันน้อย ดีมานด์มาก พลิกวิกฤตสวนกระแสตลาดแนวสูงชะลอตัว จ่อเปิดคอนโดฯไฮไรส์ แบรนด์ใหม่ ใกล้แยกพระประแดง ราคา 70,000 บาท/ตารางเมตร ทั้งขยายฐานผุดโฮมออฟฟิศ ย่านรามคำแหง มูลค่า 200 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ปี2562แตะ 900 ล้านบาท

 

 

นายวิทยา พรหมชนก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจรีเทลจากเทสโก้ โลตัส และอสังหาฯที่เริ่มจากการซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ จากสถาบันการเงินมารีโนเวทใหม่ ครั้งละประมาณ 1-2 ยูนิต และขายต่อ สามารถทำผลกำไรได้ดีถึงครั้งละประมาณ 30% โดยในช่วงระยะเวลา 3-4 ปี ที่ดำเนินการในรูปแบบนี้ สามารถขายบ้านไปได้ทั้งหมด 50 ยูนิต จากหลากหลายทำเล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท โดยทำเลที่ได้รับความนิยมและขายดีที่สุดคือ รัชดาภิเษก จึงทำให้มีความเข้าใจในธุรกิจอสังหาฯได้ดี ดังนั้นในปี 2557 จึงได้เข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัว ด้วยการร่วมทุนกับนายจรูญ วิริยะพรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบรนด์ OPPO ก่อตั้งบริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้นายจรูญ ถือหุ้น 60% และตนถือหุ้น 40% เริ่มจากการพัฒนาโครงการ “The Work”ในทำเลสุขสวัสดิ์64 (พระประแดง) บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง ในรูปแบบของอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง ราคา 4.8 ล้านบาท  จำนวน 16 ยูนิต และทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคา 3.2 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 515 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน

 

หลังจากนั้นในปี 2558 ได้พัฒนาโครงการที่ 2 อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ “The Bella Condo” ซึ่งได้ดึงกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป เข้ามาร่วมทุนด้วยอีก 1 กลุ่ม ด้วยการตั้งบริษัท เจแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยทั้งกลุ่มตน กลุ่มนายจรูญ และกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือกว่า 33% โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ย่านพระราม2 เป็นคอนโดฯ จำนวน 2 อาคาร สูง 8 ชั้น จำนวน 322 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายแต่ห้องรีเซลเพียง 4-5% เท่านั้น

 

เมื่อปี2561 ที่ผ่านมากลุ่มของตนและนายจรูญ ได้เปิดตัวโครงการ “โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” (Polis Condo Suksawat 64 ) ในนามบริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาด 28-45 ตารางเมตร ราคา 1.19 ล้านบาทขึ้นไป  จำนวน 459 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท โดยเปิดพรีเซลเมื่อเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 70%

นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯนับจากนี้จะเน้นการพัฒนาปีละ 2-3 โครงการเป็นหลัก โดยเฉพาะย่านสุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นทำเลที่บริษัทฯมีความชำนาญ เพราะมองว่ามีการคมนาคมที่สะดวกสบาย และที่สำคัญยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดมากนัก  อีกทั้งราคาที่ดินก็ยังไม่สูงมาก โดยที่ดินที่ติดถนนใหญ่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 150,000-190,000 บาท/ตารางวา ซึ่งในทำเลดังกล่าวบริษัทฯยังมีที่ดินสะสมอีก 1 แปลง บริเวณใกล้ 3 แยกพระประแดง พื้นที่ประมาณ 2.5 ไร่  มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯไฮไรส์ ขนาดเริ่มต้นที่ 28 ตารางเมตร  ราคาประมาณ 70,000 บาท/ตารางเมตร จำนวนประมาณ 600 ยูนิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ และจะเป็นการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมา จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะต้องการสร้างแบรนด์ “โพลิส”ให้ติดตลาดและสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแกร่งก่อน

 

“การที่ผู้ประกอบการรายใหญ่หันมาพัฒนาโครงการแนวราบกันมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีซัพพลายคอนโดฯในตลาดอยู่เป็นจำนวนมาก หากไปพัฒนาโครงการแนวราบตามรายใหญ่ เราจะไม่รอดแน่นอน  ดังนั้นจึงมองเป็นโอกาสที่จะสวนกระแสตลาด เพราะทำเลสุขสวัสดิ์ผู้ประกอบการจะพัฒนาแต่โครงการแนวราบ เมื่อเราไปพัฒนาโครงการแนวสูงก็แทบจะไม่มีคู่แข่ง และราคาที่ขายก็ตอบโจทย์คนที่เพิ่งแยกครอบครัว นายวิทยา กล่าว

 

นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยังมีแผนเปิดตัวโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น บริเวณซอยรามคำแหง 15 อีก 1 โครงการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ ขนาด 47 ตารางวา ราคา 25 ล้านบาท จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนมิถุนายน 2562 นี้

 

ในปี2562 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 700 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ที่มียอดขาย 460 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 900 ล้านบาท มากจากปี2561 ที่รับรู้รายได้ 460 ล้านบาท จากโครงการThe Bella Condo

พร้อมกันนี้นายวิทยา ยังได้ให้ความเห็นถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังที่สูงมากหากเทียบกับปีอื่นๆก่อนหน้า แต่เนื่องจากในปี 2562 มีปัจจัยภายนอกที่ท้าทายต่างๆ เช่น มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value:LTV)  ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่ตลาดต่างชาติเองก็มีการปรับตัว อาจส่งผลให้ภาคอสังหาฯเองนั้น มีการปรับตัวในช่วงระยะเวลานึง และอาจได้เห็นการชะลอตัวลงของบางบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยเหล่านี้  แต่ทั้งนี้ความต้องการที่อยู่อาศัยเองนั้นยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจึงได้เล็งเห็นถึงจุดนี้ และได้มีการวางแผนพัฒนาโครงการ โดยเน้นที่อยู่อาศัยที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด รวมถึงให้ความสำคัญกับเทรนด์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน กับกลุ่มอุปสงค์จริง (Real Demand) อาทิ ด้วยการวางแผนรองรับเรียลดีมานด์มากขึ้น อาทิ กลุ่มผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรักสัตว์ เป็นต้น

 

ในฐานะที่เป็นผู้พัฒนารายย่อย จึงถือเป็นปีที่ท้าทาย และเข้าสู่โหมดการปรับตัว ที่จำเป็นจะต้องวิเคราะห์และมองตลาดให้กระชับและชัดเจน เพื่อทำการพัฒนาโครงการให้ตรงกับโจทย์ของผู้บริโภคมากที่สุด ในหลายปัจจัยของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย ทั้งมาตรการLTV  รวมถึงเรื่องของราคาที่ดิน หรือแนวโน้มราคาคอนโดฯต่อตารางเมตรที่ยังคงทรงตัว แต่หากมีการพัฒนาโครงการบนทำเลที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค มีราคาขายที่ไม่สูง และสามารถเข้าถึง Real Demand ได้จริง ก็สามารถแข่งขันกับผู้พัฒนารายใหญ่ได้ ประกอบกับการเป็นรายย่อยทำให้บริหารได้อย่างคล่องตัว ปรับเปลี่ยนแผนการได้ทันเวลา และโอกาสเกิดความเสียหายในธุรกิจน้อยกว่ารายใหญ่