ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบทิศที่กดทับทั้งภาคเศรษฐกิจและธุรกิจเรียลเซกเตอร์ ซึ่งก็รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เหล่ากูรูต่างประสานเสียงเห็นพ้องกันว่า ปี 2562 นี้ ตลาดอสังหาฯชะลอตัวแน่นอน จะอยู่รอดได้ต้องปรับตัว และต้องมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งกำลังคน กำลังเงิน รวมถึง พันธมิตรทางธุรกิจ ว่ากันว่าในเวลานี้ ตลาดเป็นของผู้เล่นรายใหญ่ ส่วนรายกลาง-รายเล็กไม่ปรับตัว “อยู่ยาก” !! การระดมทุนสร้างฐานทุนให้ใหญ่ขึ้นด้วยการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งช่องทางผ่าทางตันธุรกิจรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของดีเวลลอปเปอร์ “รายกลาง-รายเล็ก” โดยมีวัตถุประสงค์หลักๆดังนี้ อาทิ
  • รองรับแผนการขยายธุรกิจ / โครงการในอนาคต
  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • ชำระหนี้ / ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน
  • เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าที่ซื้อบ้าน / คอนโดฯในโครงการได้สิทธิสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ
  • ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
  • ยกระดับมาตรฐานของบริษัท…สู่มืออาชีพ
 3 หุ้นอสังหาฯ ALL –VRANDAARIN จ่อขาย IPO
แม้ว่าการนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ชัดเจน แต่หากมองอีกมุมต้องยอมรับว่าเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)ดูเหมือนจะมี “ความเสี่ยง”พอสมควรจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะปรับตัวขึ้น-ลงจากปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศ ทำให้เกิดความกังวลจะกดหุ้น IPO รูดต่ำกว่าราคาจองหรือไม่ เมื่อถึงวันเวลาซื้อขายจริงๆ ต้องจับตาถึงกระแสดังกล่าว รวมถึงการเคาะ “ราคา IPO” จะดึงดูดความสนใจนักลงทุน ทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไปได้มาก-น้อยแค่ไหนด้วยเช่นกัน

หุ้นน้องใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่จ่อขาย
IPO ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562
นั้นมี 3 รายจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)  ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการเดินสายโรดโชว์ ก็คือ
  • บริษัท ออลล์อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (มหาชน) หรือ ALLขาย IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น โดยบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและอยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
  • บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA ขาย IPO 75 ล้านหุ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จํากัด (มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและอยู่ในหมวดบริการ
  • บริษัท อรินสิริ แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ARIN ขาย IPO 150 ล้านหุ้นโดยบริษัท หลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและอยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ALL -VRANDA ขาย IPO ต้นเดือน พ.ค.นี้
ทั้งนี้ ดีเวลลอปเปอร์  2 รายที่ประกาศขาย IPO ในเดือนหน้า (พ.ค.2562)นั้น ต่างได้สร้าง Story โชว์ความพร้อมต่อจิ๊กซอว์ให้ธุรกิจ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ของทีมผู้บริหารในการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยออลล์ อินสไปร์ฯ”  ที่ได้นำเสนอข้อมูล(โรดโชว์) ทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 1-4 เมษายน 2562 ที่ผ่านมานั้นได้รับการเปิดเผยจาก “เล็ก สิขรวิทย” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ “ ออลล์ อินสไปร์ฯ”ว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
ธนากร ธนวริทธิ์
ด้วยกระแสดังกล่าวนั้นทำให้ “ธนากร ธนวริทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือCEO “ ออลล์ อินสไปร์ฯ” มีความมั่นว่า หุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น ที่เตรียมเสนอขายในเร็วๆนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจาก  ALLมีจุดแข็ง การเป็นผู้นำอสังหาฯ ที่สามารถตอบโจทย์ความหลากหลายด้านที่อยู่อาศัย พร้อมเดินหน้าลุยโครงการใหม่ต่อเนื่องตามแผนปีนี้เปิด 6 โครงการบนทำเลศักยภาพ มูลค่ารวมกว่า 18,250 ล้านบาท ดึงทุนจากจากสิงค์โปร “กราวด์ พร็อพเพอร์ตี้”พัฒนาคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ

 

ในการดำเนินธุรกิจ “ธนากร” ย้ำว่าบริษัทฯยังคงยึดกลยุทธ์สำคัญ “ราคา-ทำเล และ ดีไซน์”ภายใต้แนวคิดClass of Living ” วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ถือหุ้น คู่ค้า พนักงาน เป็นต้น

“ออลล์ อินสไปร์ เราไม่ใช่
pure real estate แต่เป็น total real estate solution มีการเติบโตทะลุทะลวงเป็นการเติบโตแบบ convenience store”
การเสนอขาย IPO ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ “ธนากร” มั่นใจว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนและตลาดเงินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ในอนาคต ตามนโยบายของ ALL ** อ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่ >>>https://prop2morrow.com/2019/03/14/“ออลล์-อินสไปร์”ลุยโครงการใหม่-ขายหุ้น-ipo-พ-ค-นี้/
แนวคิดและนโยบาย CEO ของ“ ออลล์ อินสไปร์ฯ” ใกล้เคียงและสอดคล้องกับ“วีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ VRANDA  ที่บอกว่า “ฐานทุนที่ได้จากกาขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทฯโตได้ต่อเนื่อง”
VRANDA เชื่อธุรกิจโตตามท่องเที่ยว
บริษัทฯได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 23.46 % ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ และจะมีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วทั้งสิ้น ไม่เกิน 1,598,408,360 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 319,681,672 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จํากัด (มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ต้นเดือนพฤษภาคม 2562 นี้ในหมวดบริการ
วีรวัฒน์ องค์วาสิฏฐ์
ธุรกิจ VRANDA ยังเติบโตได้ดีตามธุรกิจท่องเที่ยว “วีรวัฒน์ ” กล่าวด้วยความเชื่อมั่นส่วนธุรกิจที่อยู่อาศัยเป็นเสมือนโบนัสที่ 2-3 ปีมีรายได้เข้ามาครั้ง ขณะที่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มก็เริ่มได้รับความนิยมและบริษัทฯก็มีแผนขยายสาขาและขยายแบรนด์ใหม่ๆเพิ่ม เชื่อว่าอีก2-3ปีจากนี้ไปกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตอย่างชัดเจน

“วีรวัฒน์ ”
ยังกล่าวด้วยว่า ทางกลุ่มบริษัทฯเริ่มต้นธุรกิจจากการพัฒนาโครงการโรงแรมแห่งแรก ภายใต้ชื่อ โรงแรม วีรันดา รีสอร์ท หัวหิน เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนหน้า ปัจุบันมีธุรกิจที่ส่งเสริมและเกื้อหนุนกัน (Synergy) ประกอบด้วย
  • ธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมี 5 แห่ง ที่ เชียงใหม่ ,สุราษฎร์ธานี , ชลบุรี, หัวหิน(จ.เพชรบุรี)และกรุงเทพฯ
  • ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดพักอาศัย
  • ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ประกอบด้วย ร้านอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ Skoop Beach Café สาขาพัทยา และสาขาหัวหิน ส่วนร้านเครื่องดื่ม และขนมหวาน ภายใต้ชื่อ KOF สาขาสาทร และทองหล่อ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาร้าน KOF อีก 1 สาขาในช่วงปลายปี 2562 นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 /2562 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดร้าน Skoop & Co. ที่โครงการ เจ อเวนิว ทองหล่อ และที่โครงการ เดอ มาร์เช่ จังหวัดเชียงใหม่และร้านชานมไข่มุก The Alley ที่โครงการ เดอ มาร์เช่ จังหวัดเชียงใหม่
การขยายธุรกิจไปสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทโครงการอาคารชุดพักอาศัยนั้น  “วีรวัฒน์ ” ย้ำว่าจะยังเน้นในบริเวณติดกับโรงแรมของบริษัท ฯ โดยดึงเอาบรรยากาศ และการออกแบบของโรงแรมที่สวยงาม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาร่วมเป็นจุดขายที่สำคัญทำให้ได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
ในอนาคต VRANDA จะมีการขยายธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม วีรันดา เรสซิเดนซ์ หัวหิน มูลค่าโครงการกว่า 2,462 ล้านบาท ใช้เงินลงทุนรวม1,635 ล้านบาท (เป็นส่วนของที่ดิน 419 ล้านบาท)และโรงแรมเวอโซ หัวหิน คาดใช้เงินลงทุนรวม 321 ล้านบาท  ** อ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่>> https://prop2morrow.com/2019/04/13/วีรันดา-ฯ-ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์-เอ็ม-เอ-ไอ/
“อรินสิริ แลนด์” พุ่งเป้าปี’65 แบรนด์อันดับ 1 ในภาคตะวันออก
จากข้อมูลที่ระบุในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัท อรินสิริ แลนด์ จำกัด (มหาชน)หรือ ARIN คือผู้ประกอบการอสังหาฯอีกรายที่มีแผนขาย IPO ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2557 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 10 ล้านบาท ภายใต้การนำของ “สุชาติ ชมกลิ่น” และ “วิมลจิต อรินทมะพงษ์” ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และอาคารห้องชุดมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,049 ล้านบาทและมุ่งหวังจะเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบรนด์อันดับหนึ่งของภาคตะวันออกในปี 2565โดยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ
  • กลุ่มพนักงานและข้าราชการที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและละแวกใกล้เคียงที่มีความต้องการขยับขยายที่อยู่จากที่อยู่เดิมและครอบครัวใหม่
  • ลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรม
  • ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อให้บุคคลทั่วไปและนักท่องเที่ยวเช่า
  • ลูกค้าทั่วไปที่ต้องการมีบ้านหลังที่ 2
การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน ในครั้งนี้จำนวน 150 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25%  ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินคือบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาทมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ต่อหุ้น0.50 บาท (ห้าสิบสตางค์)
ในปัจจุบันบริษัทฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขาย ทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2,191 ล้านบาท โครงการ ประกอบด้วย โครงการอรินสิริ สปอร์ต วิลเลจ มูลค่าโครงการ 1,339.09 ล้านบาท โครงการอรินสิริ คันทรี ฮิลล์ มูลค่าโครงการ 501.68 ล้านบาท และโครงการอรินสิริ ไพรเวซี่ มูลค่าโครงการ 360.44 ล้านบาท และโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมโดยประมาณ 1,393.85 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
  1. โครงการอรินสิริ บีช @ บ้านฉาง ที่ตั้งโครงการใกล้กับชายทะเลหาดพยูนและแหล่งที่ท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอบ้านฉาง บนเนื้อที่โครงการกว่า 31 ไร่ดำเนินการยื่นขออนุญาตก่อสร้างเมื่อเดือนตุลาคม 2561 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างและจะเปิดขาย ไตรมาส 2 /2562 เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นที่ดิน 52 ตารางวา (ตร.ว.) พื้นที่ใช้สอย 184 ตารางเมตร (ตร.ม.)ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน จำนวน148 ยูนิตราคาขายเริ่มต้น 4.9 ล้านบาทมูลค่าโครงการ  542.70 ล้านบาท
  2. โครงการอรินสิริ เมาท์เท่น ที่ตั้งอยู่ซอยโรงงานทีดีเค ถนนสายแสนสุข-บางพระ อำเภอเมืองชลบุรี บนเนื้อที่กว่า 32 ไร่เป็นบ้านทาวน์โฮม2 ชั้น ที่ดิน 20 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 110 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คันราคาขายเริ่มต้น 1.69 ล้านบาทมูลค่าโครงการ 546.12 ล้านบาทคาดว่าจะเปิดขาย ไตรมาสที่ 3 / 2562
  3. โครงการอรินสิริ แคมปัส  ย่านถนนข้าวหลาม จ.ชลบุรี ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้นจำนวน 3 อาคารจำนวน 210 ยูนิตลักษณะห้องชุดแบบ1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 29.6 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น1.25 ล้านบาทมูลค่าโครงการ 305.03 ล้านบาทคาดว่าจะเปิดขาย ไตรมาสที่ 3 / 2562
  4. โครงการอรินสิริ บีชคอนโด 1, 2 ตั้งอยู่ย่านถนนอ่างศิลา-เขาสามมุก จ.ชลบุรี บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสุดพักอาศัยสูง 14 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 356 ยูนิต ลักษณะห้องชุดเป็นแบบ1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 32 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น 2.04 ล้านบาทมูลค่าโครงการ785.41 ล้านบาทคาดว่าจะเปิดขาย ไตรมาสที่ 4 / 2562

โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการของบริษัทจะพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง แนวโน้มสภาวะตลาดของธุรกิจอสังหาฯความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และความเหมาะสมของระดับราคา ปัจจุบันโครงการของบริษัทตั้งอยู่ ในหัวเมืองภาคตะวันออก ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและมีศักยภาพเจริญเติบโตสูง เช่น จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC : Eastern Economic Corridor) มีเป้าหมายที่จะยกระดับพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้กลายเป็น “World-Class Economic Zone” รองรับการลงทุนอุตสาหกรรม Super Cluster และอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอีก 20 ปีข้างหน้า แทนที่ Eastern Seaboard เดิม

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
คือตั้งแต่ปี 2559-2561 มีรายได้รวมเท่ากับจำนวน 85.30 ล้านบาท,จำนวน 391.65 ล้านบาท ,จำนวน 382.03 ล้านบาท (ตามลำดับ) ส่วนผลประกอบการกำไร(ขาดทุน)นั้นในปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 11.42 ล้านบาท  ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 37.09 ล้านบาท และปี 2561 มีกำไรสุทธิ 26.05 ล้านบาท