สิงห์เอสเตทฯพร้อมรับความท้าทายตลาดอสังหาฯปีนี้ เดินหน้าตามแผนด้วยงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาท พัฒนาคอนโดฯรร.-สำนักงาน ล่าสุดนักธุรกิจเหมืองหยกทับทิม สนใจร่วมทุนโครงการในไทยเมียนมา  เผยจากการศึกษาข้อมูลเบื้อต้นอาจผุดมิกซ์ยูสจึงจะคุ้มค่าลงทุน มั่นใจนำSHR แต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาส 3/62แน่นอน ตั้งเป้ารายได้แตะ 20,000 ล้านบาท ภายในปี63
 นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชนหรือ S เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในครึ่งปีหลัง 2562 ว่า มีการปรับตัวจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ อาทิ เช่น เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (Loan to Value : LTV)ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน แต่ในส่วนของบริษัทฯไม่ค่อยมีผลกระทบจากLTV เนื่องจากทุกโครงการมีการวางเงินดาวน์ที่สูง 20% แต่ในด้านของนักลงทุน อาจมองในเรื่องของภาระและด้านการถือครอง จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนประมาณ 10% ไม่รับโอนห้องชุด โดยเฉพาะ “ดิ เอส อโศก” โดยทางโครงการไม่ได้ทำการยึดเงินจองของลูกค้าแต่อย่างใด  แต่กลับนำห้องชุดมาขายต่อให้กับผู้ลงทุนรายใหม่

 

สำหรับแผนการลงทุนของสิงห์เอสเตทฯนั้น ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการตามแผนที่วางไว้ โดยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ พร้อมรับความท้าทายของตลาดอสังหาฯ โดยเชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้ตลาดอสังหาฯจะฟื้นตัว เห็นได้จากเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าแวะชมโครงการมากขึ้น เนื่องจากการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย 

 

โดยทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทฯจะเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามที่วางไว้ด้วยงบลงทุน 8,000-10,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยจะมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ซอยรางน้ำติดสวนสาธารณะสันติภาพและตรงข้ามคิงเพาเวอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่รองจากดิเอสบนพื้นที่เกือบ2 ไร่สูงประมาณ35 ชั้นขนาดตั้งแต่30 ตารางเมตรขึ้นไปราคาเริ่มต้นที่200,000 บาทต้นๆ/ตารางเมตร  จำนวน415 ยูนิตมูลค่าประมาณ4,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวประมาณไตรมาส3/2562 นี้ 

 

นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงาน Oasis ถนนวิภาวดีรังสิต บนพื้นที่ 7 ไร่ซึ่งเป็นการเช่าระยะยาว 30 บวก 30 ปีเป็นอาคารสูง  36 ชั้นโดยมีพื้นที่ให้เช่า(NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตรแบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกบางส่วนมูลค่าการลงทุน 3,695 ล้านบาทหรือมูลค่าโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาทโดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี2562 และแล้วเสร็จประมาณปี 2564  ซึ่งขณะนี้ได้มีนักลงทุนไทยสนใจติดต่อเช่าพื้นที่ 60,000-70,000 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาเนื่องจากแผนเดิมจะใช้อาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานใหญ่ของสิงห์เอสเตทฯ ซึ่งหากมีความชัดเจนจึงจะสามารถเปิดเผยได้

อีกทั้งยังมีการลงทุนในโรงแรม 2 แห่ง ในโครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์ จากแผนดังกล่าวนี้จะทำให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวขึ้นเป็น โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี อย่างสมบูรณ์แบบในปี2562 นี้

 

สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศนั้น ล่าสุดได้มีนักธุรกิจเหมืองหยกและทับทิม จากประเทศเมียนมา ซึ่งมาดูโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์และมีความประทับใจการดำเนินธุรกิจของตระกูลภิรมย์ภักดีที่เริ่มต้นจากธุรกิจเบียร์และขยายไลน์ธุรกิจมาพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ประสบความสำเร็จจึงมีความสนใจอยากร่วมทุนกับ พัฒนาโครงการทั้งในประเทศไทย และที่เมียนมาเพราะไม่มีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาฯ และจากการที่ตนไปดูที่ดินของกลุ่มทุนจากเมียนมา พบว่าที่ดินของกลุ่มทุนดังกล่าว มีอยู่กระจายในหลายเมือง แต่หากจะเริ่มต้นพัฒนาคงเป็นที่เมืองย่างกุ้ง ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวมีศักยภาพ แต่ยังมีขนาดเล็ก เพราะหากจะพัฒนาจะต้องเป็นในรูปแบบมิกซ์ยูสและต้องซื้อที่ดินเพิ่ม

เมียนมาถือเป็นยุทธศาสตร์ในการกระจายและความเสี่ยงในการลงทุนของสิงห์เอสเตทฯ ซึ่งมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเมียนมาเริ่มมีความชัดเจนในเรื่องประชาธิปไตยแล้ว มีแรงงานวัยหนุ่มสาวที่รองรับการพัฒนาได้เป็นจำนวนมาก มีแหล่งก๊าซธรรมชาติ ท่าเรือน้ำลึก และเหมืองอัญมณีเป็นจำนวนมากนายนริศกล่าว

 

นายนริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการในเมียนมาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนที่มาจากประเทศจีน รูปแบบการพัฒนาจะเป็นอสังหาฯระดับแมส ในขณะที่โครงการระดับพรีเมี่ยมยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่พัฒนาในรูปแบบของมิกซ์ยูส เนื่องจากที่ดินในเมียนมา ราคาค่อนข้างสูงเกือบ 1 ล้านบาท/ตารางวา หากS จะเข้าไปพัฒนาก็จะต้องเป็นในรูปแบบพรีเมี่ยม ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์การลงทุนของพันธมิตรชาวเมียนมา ที่ต้องการพัฒนาโครงการที่มีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับ โดยจะเป็นในลักษณะของการนำบริษัทลูกของสิงห์เอสเตทฯ ด้านเรสซิเดนซ์เข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งคงต้องนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทฯอีกครั้งหนึ่ง  และต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาตลาดเมียนมาอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถสรุปผลการร่วมทุนได้

 

นอกจากนี้ยังให้ความสนใจลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่องอาทิ เวียดนาม แต่ประเทศดังกล่าวก็มีการแข่งขันที่สูงเนื่องจากมีผู้ประกอบการจากหลายประเทศเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก อาทิ จีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล ส่วนประเทศกัมพูชา ยังไม่สนใจที่จะเข้าไปลงทุน เพราะมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กไป

สำหรับความคืบหน้าในการนำธุรกิจโรงแรมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) โดยใช้ชื่อ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชนหรือSHR คาดว่าจะเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)จำนวน 1.43 พันล้านหุ้น หรือคิดเป็น 40%ของทุนชำระแล้ว มูลค่าของหุ้นที่ตราไว้(พาร์) 5 บาทต่อหุ้น ได้ในไตรมาส 3/2562 นี้ ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้ลงทุนโรงแรมและบริหารรีสอร์ทระดับพรีเมียม ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมต่าง  ทั่วโลก  โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับสิงห์ เอสเตทฯ และเพิ่มความพร้อมในการลงทุนขยายธุรกิจในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก ให้กับ SHR เพื่อตอบสนองต่อโอกาสจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

 

ขณะที่บริษัทฯก็ยังเดินหน้าขยายพอร์ตโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องรวมถึงมีการปรับปรุงคุณภาพ และเพิ่มปริมาณห้อง รองรับการเข้าใช้บริการและสร้างรายได้ อาทิ โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ตบีช รีสอร์ท ที่มีการปรับปรุงห้องพักเพิ่มอีก 50 ห้อง รวมเป็น 300ห้อง คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า จะมีห้องพักให้บริการรวมทั้งสิ้น 10,000 ห้อง จากปัจจุบันมีประมาณ 4,500 ห้องจาก 39 โรงแรม โดยเป็นโรงแรมที่เทกโอเวอร์ 37 แห่งและพัฒนาเอง 2 แห่ง จาก7 แบรนด์ คือ เอาท์ริกเกอร์,เมอร์เคียว,พีพี,สันติบุรี,ฮาร์ดร็อก,ฮิลตัน และ ฮอลิเดย์อินน์ และคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มจาก30% ในปีนี้เป็นเกือบ50% ภายในปี2563

 

ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี 2562 และที่เหลือในปี 2563 อย่างไรก็ตามบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ให้ถึง 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2563

 

อนึ่ง สิงห์ เอสเตท มีการทำธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่พักอาศัย โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำบริษัทก้าวสู่การเป็น “โกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี” (Global Holding Company) ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การสร้างแบรนด์ในระดับพรีเมียม การปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*