ลลิลฯเห็นด้วยแบงก์ชาติผ่อนกฎเกณฑ์ผู้กู้ร่วม  ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในภาพแม็คโคร 10% แนะสถาบันการเงินปลดล็อกชื่อผู้กู้ร่วมในโฉนด ไม่ผูกมัดระยะยาว หันเน้นผู้กู้หลักมีกำลังชำระหนี้ ทั้งลุยตลาดเชิงรุกตอบโจทย์ลูกค้า แผนเปิดตัวปี 62 เป็นไปตามเป้า 8-10 โครงการมูลค่ารวมกว่า 5,000  ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมแตะ 5,3000 ล้านบาท ตามแผน ครี่งปีแรกกวาดแล้ว 3,100 ล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า จากการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย​(ธปท.)ได้รับฟังความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ ของผู้ประกอบการ อสังหาฯ และล่าสุดได้มีการพิจารณาผ่อนปรนการนับสัญญากรณีกู้ร่วม ถ้าผู้กู้ไม่มีชื่อเป็นกรรมสิทธิ์จะผ่อนปรนเสมือนยังไม่เป็นผู้กู้ในครั้งนั้น เนื่องจากไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยเพียงแค่ช่วยเหลือกันภายในครอบครัว และมีผลบังคับใช้ทันทีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการปลดล็อกผู้กู้ร่วมจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในภาพแม็คโครประมาณ 10% แต่ทั้งนี้ในส่วนของผู้กู้ร่วมที่มีชื่อในโฉนดที่ดินแล้วนั้น หากจะช่วยเหลือก็ควรที่จะปลดชื่อผู้กู้ร่วมออก โดยพิจารณาจากเรื่องผู้กู้หลักมีความสามารถชำระหนี้ที่ดีและต่อเนื่อง มีระดับหนี้ลดลง และหนี้คุ้มหลักประกันแล้วก็ให้ปลดผู้กู้ร่วมออกไปจากสัญญาดังกล่าว  มิฉะนั้นชื่อผู้กู้ร่วมจะต้องผูกมัดในสัญญาเรื่องเงินกู้ยาวไปถึง 20 ปี จึงอยากฝากเรื่องดังกล่าวไปยังสถาบันการเงินด้วย มิใช่ฝากไปยังธปท.เพียงอย่างเดียว

 

ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้จำกัด(มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2562 คาดว่ายังคงมีทิศทางที่เป็นบวกในครึ่งปีหลัง แต่อัตราการปรับตัวอาจอยู่ในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอุปทานคงเหลือในหลายพื้นที่ โดยการเติบโตจะเห็นชัดเจนในพื้นที่ที่ประชาชนมีกำลังซื้อ เช่น กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดเขตเศรษฐกิจ และเริ่มขยายไปยังจังหวัดรองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ที่อยู่อาศัยจะกระจายตัวออกไปจากอุปทานของที่ดินที่ยังมีอยู่จำนวนมาก และมุ่งเน้นเจาะไปที่กลุ่ม Real demand เป็นสำคัญ เพื่อปลดล็อกปัญหามาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(Loan to Value: LTV) โดยการพัฒนาโครงการส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะอาศัยแรงบวกจากนโยบายภาครัฐที่ชัดเจน คือ การลงทุนขนาดใหญ่ในพื้นที่เฉพาะเช่นพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(Eastern Economic Corridor :EEC) ที่กำลังเติบโตอย่างน่าจับตา

แม้ว่าหลายองค์กรจะได้รับผลกระทบจาก LTV แต่ของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเรียลดีมานด์ และเน้นการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละโครงการ แต่ละทำเล และลดการทำการตลาดแบบ “Mass Marketing” ลง แต่หันไปทำการตลาดเชิงรุกใช้ Insight Customer ทั้งด้านออนไลน์ และออฟไลน์ มาร์เก็ตติ้ง ตลอดจนการทำ CRM อย่างต่อเนื่อง โดยผนึกกำลังกับแบรนด์ชั้นนำ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ลูกบ้านของลลิลฯ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวมไปถึงการเน้นการจัดแคมเปญทุกๆ 2 เดือน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี  ส่วนมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ หากมีออกมาช่วยเหลือก็จะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจอสังหาฯในเชิงบวก ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศด้วย” นายชูรัชฏ์กล่าว

 

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2562 ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คือ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000  ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ Lalin Town อ่อนนุชสุวรรณภูมิ, Lalin Town รังสิตคลอง2 , Lio Bliss รังสิตคลอง4 และ Lio Bliss เพชรเกษม81/2  ปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมียอดขายรวมแล้ว 400 ล้านบาท


ส่วนในครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 
5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าว จะเป็นโครงการที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง จำนวน 1 โครงการ คือ Lio Bliss ปลวกแดงมาบยางพร พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม บนพื้นที่ 41 ไร่ ราคาประมาณ 1.5-2 ล้านบาท ประมาณ 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2562 ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(Eastern Economic Corridor :EEC)

จากการนำเสนอโครงการใหม่สู่ตลาดตั้งแต่ต้นช่วงต้นไตรมาส 2 ของปี 2562 ทำให้เห็นชัดว่าลลิลฯเดินมาถูกทาง ดังนั้นเราจะเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบในย่านที่มี Blue print ของความเป็นเมืองหรือชุมชนศักยภาพ ที่พร้อมจะเติบโตสู่การเป็นย่านเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งทำเลหลักยังเป็นเขตรอบของกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่EEC เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งโครงการนี้ยังรวมไปถึงด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และที่อยู่อาศัย จึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องในหลายๆด้าน ทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นในพื้นที่เฉลี่ย 8-10%ต่อปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ๆกันมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีปริมาณแรงงานคุณภาพที่ย้ายถิ่นฐานมาในโซนดังกล่าวพร้อมความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีมากขึ้นนายชูรัชฏ์กล่าว


อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่า ยอดขายรวมจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้  5,3000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกสามารถทำได้แล้ว 
3,100 ล้านบาท

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*