แสนสิริฯมั่นใจปี63 ปัจจัยลบไม่กระทบกำลังซื้อตลาดลักชัวรี่-ซูเปอร์ลักชัวรี่ เศรษฐีไทย-เทศแห่ลงทุนต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ประกอบการแข่งป้อนสินค้าใหม่ดึงความสนใจดีมานด์ ระบุ“คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค” ยอดขายพุ่งแล้ว 70% เตรียมเปิดให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับห้องตัวอย่างตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.62 เป็นต้นไป

นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2563 ว่า คงเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสินค้า และราคา ที่ต้องตอบโจทย์ผู้บริโภค ซึ่งในส่วนของบริษัทฯก็ได้มีการเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้วยการรุกตลาดแนวราบ ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์มากขึ้น  ขณะที่โครงการประเภทคอนโดฯ หากไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจก็จะยังไม่เปิดตัวใหม่ แต่มองว่าตลาดลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะลูกค้ากลุ่มดังกล่าวมีกำลังซื้อที่ดี และไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  อีกทั้งเป็นลูกค้าในกลุ่มที่เป็นนักลงทุน ชอบสะสมสินทรัพย์ ที่มองว่าจะมีโอกาสเติบโตทางด้านมูลค่าในอนาคต  ขณะเดียวกันการแข่งขันของผู้ประกอบการก็น่าสูงขึ้น เพราะจะมีสินค้าใหม่ออกมาในตลาดมากขึ้น แต่จุดเด่นของแสนสิริฯนั้นมีความมั่นใจว่า เป็นการพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากผู้ประกอบการายอื่น จึงไม่มีความกังวลในการเปิดตัวโครงการใหม่ระดับดังกล่าวในอนาคตแต่อย่างใด


ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา แสนสิริพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และแฟล็กชิพซูเปอร์ลักชัวรี่แล้ว 5 โครงการ ปัจจุบัน Sansiri Luxury collection สร้างยอดขายรวมแล้วกว่า 17,700 ล้านบาท ได้แก่ 98 Wireless ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงจำนวน 3 ยูนิต, บ้านแสนสิริ พัฒนาการ เหลือเพียงจำนวน 3 หลัง ตลอดจน THE MONUMENT Thong Lo ที่มียอดขายแล้วถึง 60% จากทั้งหมดของโครงการ

สำหรับความคืบหน้าโครงการโครงการ “คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค” (KHUN by YOO inspired by Starck) เป็นโครงการร่วมทุนดำเนินการพัฒนาโครงการภายใต้ บริษัท บีทีเอส-แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่ง U ถือหุ้นในสัดส่วน 50% (บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ถือหุ้น U ในสัดส่วน 35%) และ SIRI ถือหุ้น 50% ซึ่ง SIRI จะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ตั้งอยู่ติดถนนเส้นหลักของซอยทองหล่อ 12 เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์สูง 27 ชั้น ซึ่งมีแบบห้องให้เลือกจำนวน 5 รูปแบบ ขนาดตั้งแต่ 41.50-302.75 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 18-170 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 380,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากวันที่เปิดตัวที่ราคาเฉลี่ย 350,000 บาท/ตารางเมตรจำนวน 148 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบันวงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยได้ผลิตภัณฑ์และบริการที่แปลกใหม่มาตอบโจทย์รองรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ โดยข้อมูลจาก Savills report 2018 เผยว่ามี Branded Residence จำนวน 400 แห่งทั่วโลก 55,000 ยูนิต เติบโตมากถึง 198% แสนสิริฯได้เล็งเห็นถึงศักยภาพตลาดดีไซน์เรสซิเดนซ์ในประเทศไทย ที่ยังมีช่องว่างของตลาดในการพัฒนา Branded Residence อย่างเต็มรูปแบบในไทย ที่จับมือร่วมกันพัฒนาตั้งแต่การวางคอนเซ็ปต์โครงการ ตลอดจนการออกแบบและดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่อย่างแท้จริง จึงได้นำโมเดลการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Non-Hotel Branded Residence หรือการพัฒนาโครงการอสังหาฯที่ไม่ใช่กลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีอันดับเทียบเท่ากันกับ ซูเปอร์ลักชัวรี่แบรนด์ระดับโลก อาทิ Bvlgari Hotels & Resorts, Aston Martin Residences, Fendi Private Residence หรือ Armani Hotel มาใช้ในการพัฒนาโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ในฐานะ 1st Design Branded Residence แห่งแรกของแสนสิริ และแห่งแรกในไทยของ YOO Studio

โดยล่าสุดโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วประมาณ 70% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าชาวไทยประมาณ 85% และลูกค้าต่างชาติประมาณ 15% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง  ที่แม้ว่าปัจจุบันจะประสบปัญหาความไม่สงบ แต่ชาวฮ่องกงก็มีความต้องการที่อยู่อาศัยนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยก็เป็นลำดับต้นๆที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนชาวฮ่องกง ซึ่งตั้งเป้าจะปิดการขายภายในปี 2564 โดยสินค้าเหลือขายอีกประมาณ 30% บริษัทจะเจาะการขายในกลุ่มที่มีกำลังซื้อ (High Net Worth) ที่มีความชอบสะสม ซึ่งบริษัทมีความสามารถในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้หลากหลายวิธี โดยจะเริ่มเปิดให้ลูกบ้านเข้ามาตรวจรับห้องตัวอย่างตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 นี้เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2562 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ล่าสุด (ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน) บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว จำนวน 12,00 ล้านบาท

“ปัจจุบันทำเลติดถนนหลักซึ่งมีราคาสูงสุดในทองหล่อที่มีอัตราการขายเปลี่ยนมือ (Capital Gain) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี และอัตราการปล่อยเช่า (Rental Yield) เฉลี่ยที่ 5% ต่อปี และศักยภาพของผู้เช่าชาวต่างชาติทำให้อัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ยในย่านนี้สูงถึง 1,000 บาท/ตารางเมตร ทำให้โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck มีศักยภาพอย่างสูงสุด ทั้งในด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่ม Real Demand ที่สนใจศิลปะมีไลฟ์สไตล์เป็นเอกลักษณ์และมีรสนิยม มีความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน และชื่นชอบทำเลที่สะดวกสบาย” นายปิติ กล่าวในที่สุด

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*