โนเบิลฯประกาศนโยบาย 3 ข้อ รับมือตลาดอสังหาฯชะลอตัว พร้อมรุกเปิดตัว 7 โครงการใหม่ปี63 รวมมูลค่า 25,000 ล้านบาท ทั้งสบโอกาสเงินบาทแข็งจ่อขยายฐานซื้อโครงการระหว่างก่อสร้างย่านใจกลางลอนดอน มูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาทต่อโครงการ ตั้งเป้า 3 ปี ขึ้นแท่นผู้ 1 ใน 5 ผู้นำอสังหาฯ ล่าสุดเปิดตัว “โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลสร่วมฤดี” มูลค่า 1,057 ล้านบาท

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2563 ว่า ยังชะลอตัว โดยเฉพาะมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ที่แม้จะไม่กระทบกับบริษัทฯโดยตรง แต่ในภาพรวมแล้วก็ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯชะลอตัวลง ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ต้องมีความระมัดระวังใน 3 เรื่องสำคัญ คือ

1.การใช้เงินทุน หรือการกู้ยืมระยะสั้น เพราะมีความเสี่ยงสูง โดยจะหันมากู้ยืมเงินในระยะกลาง-ยาวแทน เช่น การออกหุ้นกู้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน

2.การทำตลาด โดยจะเพิ่มเซกเมนต์ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้น ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายใหม่ รัศมีไม่เกิน 500 เมตร และเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น

3.การบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการให้พนักงานใช้เทคโนโลยีต่างๆให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนลดน้อยลง

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2563 จะรุกเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่า 25,000 ล้านบาท เบื้องต้นจะมี 2 โครงการที่เป็นโครงการร่วมทุน โดยเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ และกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U (ซึ่งบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ถือหุ้น U ในสัดส่วน 35%) อีก 1 โครงการ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเปิดโอกาสจะพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีความสนใจจะลงทุนซื้อโครงการที่อยู่ระหว่าก่อสร้างในย่านใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษด้วย เพื่อเสริมการรับรู้รายได้ โดยขนาดของโครงการจะต้องมียอดขายที่ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อโครงการ โดยจะเข้าไปลงทุนเอง ไม่ได้ร่วมทุนกับพันธมิตรแต่อย่างใด ซึ่งการที่สนใจลงทุนอสังหาฯในอังกฤษ เพราะมองว่าปัจจุบันมีความได้เปรียบในเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ขณะที่ค่าเงินปอนด์อ่อนลง รวมไปถึงกรณี Brexit ก็จะทำให้บริษัทฯมีโอกาสเข้าไปลงทุนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ในปี 2563 บริษัทตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ประมาณ 7,000-7,500 ล้านบาท แบ่งใช้เป็นงบซื้อที่ดิน ประมาณ 1,500 ล้านบาท เช่น ที่ดินในเขตเมือง และที่ดินในแนวรถไฟฟ้าใหม่ๆ และใช้เป็นงบก่อสร้าง ประมาณ 6,000-6,500 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน, 2.กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และ 3.การออกหุ้นกู้ ซึ่งในปี 2563 บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคม และในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินลดลง เพราะเป็นช่วงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง

ขณะเดียวกันในปี 2563 ตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ไว้ที่ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากตลาดต่างประเทศ ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าตลาดตาสงประเทศ ประกอบด้วย จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, และไต้หวัน เป็นหลัก ส่วนที่เหลือจะเป็นยอดขายจากลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี จะติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้นำอสังหาฯ โดยจะมียอดขายที่ 15,000-20,000 ล้านบาท  และตั้งเป้ารายได้รวมปี 2563 ไว้ที่ 11,000-12,000 ล้านบาท จากปี2562 ที่มียอดรายได้ทั้งปีที่สูงกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ มีผลประกอบการแตะระดับหมื่นล้านบาท ส่งผลให้โนเบิลก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 ผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ (2563-2565) ซึ่งจะรับรู้ในปี 2563 ประมาณ 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมมูลค่า 18,000 ล้านบาท จาก 12 โครงการ

“ในช่วง 3 ปีจากนี้ (2564-2566) NOBLE จะรักษาระดับการรับรู้รายได้ และการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ ให้มีความสม่ำเสมอ โดยจะรักษารายได้รวมให้อยู่ที่ระดับ 11,000-14,000 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 17-18% เพื่อผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 6-10 โครงการต่อปี เพื่อรองรับการรับรู้รายได้ในอนาคต และบริษัทยังมีนโยบายรักษาฐานการเงิน จะรักษาระดับอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้อยู่ที่ระดับ 1.5-1.8 เท่า และปัจจุบันมีกระแสเงินสดที่ 4,000 ล้านบาท” นายธงชัย กล่าว

ล่าสุดได้เปิดตัว “โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลสร่วมฤดี” ซึ่งตั้งอยู่ในซอยร่วมฤดี บนพื้นที่ทั้งหมด 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ขนาดตั้งแต่ 54.34-119.56 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 7 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,057 ล้านบาท โดยเริ่มเปิดพรีเซลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563  โดยจัดแคมเปญห้องชุดพร้อมการตกแต่งแบบ Fully Fitted ห้องใหญ่ทุกยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 130,000 บาท/ตารางเมตร* พร้อมข้อเสนอพิเศษเพียง 70 ยูนิตเท่านั้น ชมห้องจริงพร้อมจองวันนี้ ที่สำนักงานขาย รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท* ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2563 นี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*