วันนี้ (12 พ.ค. 2563)บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ว่ามีรายได้ 5,399 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 618 ล้านบาท โดยลดลง 30.7% (จาก 7,790 ล้านบาท) และ 42.7% (จาก 1,078 ล้านบาท) ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักดังต่อไปนี้

รายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (ไม่รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 5,399 ล้านบาท (ลดลง 30.7%จากปีก่อน) โดยเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 5,162 ล้านบาท (ลดลง 31.2% จากปีก่อน) และรายได้ค่าบริการและค่าบริหารจัดการอีก 237 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่ลดลงบางส่วนสืบเนื่องจากยอดขายและรายได้ของไตรมาสที่ 1 ปี 2562 มีการเติบโตมากกว่าปกติจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ในเดือนเมษายน 2563อุปสงค์(Demand)บางส่วนจึงถูกดึงมาเร็วขึ้น

  • แนวราบ: แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะมีความไม่แน่นอน แต่รายได้จากสินค้าแนวราบยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 2562 มาอยู่ที่ 4,403 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.8 %จากไตรมาสก่อน หรือ ลดลง 26.4 %จากปีก่อนที่รายได้พุ่งสูงสุดในไตรมาสที่ 1) ทั้งนี้สัดส่วนรายได้จากสินค้าแนวราบมาจากทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวคิดเป็น 45% และ 55 %ตามลำดับ

ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 นี้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ และสามารถเริ่มเปิดโอนกรรมสิทธิ์ได้จำนวน 4 โครงการ (เป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ) ได้แก่ 1) “Centro บางนา – กิ่งแก้ว”, 2) “The City สะพานมหาเจษฎาบดินทร์”, 3) “Centro ชัยพฤกษ์ 345” และ 4) “Pleno ราชพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ”

  • คอนโดมิเนียม: ในไตรมาสนี้ มีโครงการเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ 1 โครงการ คือ “Aspire สุขุมวิท – อ่อนนุช เฟส 1” โดยมียอดโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 255 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.6 % ของจำนวนยูนิตทั้งหมด อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวมีมูลค่าโครงการเท่ากับ 1,600 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าโครงการ “Vittorio” ที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 3,200 ล้านบาท และเป็นโครงการหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ของคอนโดมิเนียมในปี 2562 (1 ยูนิตสุดท้ายถูกโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563) ดังนั้น รายได้จากคอนโดมิเนียม (ไม่รวมโครงการร่วมทุน) จึงอยู่ที่ 759 ล้านบาท (ลดลง 50.0% จากปีก่อน) นอกจากโครงการ “Aspire สุขุมวิท – อ่อนนุช เฟส 1” แล้ว ยอดโอนกรรมสิทธิ์กระจุกตัวอยู่ที่โครงการที่มีอยู่เดิมเพียงไม่กี่โครงการ คือ “Aspire สาทร – ราชพฤกษ์” และ “Aspire เอราวัณ เฟส 1” โดยรายได้จากทั้ง 3 โครงการ คิดเป็น 70%  ของรายได้จากคอนโดมิเนียม (ไม่รวมโครงการร่วมทุน)

นอกจากนี้ บริษัทฯยังคงระบายสินค้าคงเหลือจากโครงการที่มีอยู่ เช่น “Aspire อุดรธานี” และ “Aspire สาทร – ตากสิน เฟส 3” ซึ่งทั้ง 2 โครงการขายได้หมดแล้ว และโอนกรรมสิทธิ์ไปกว่า 98% อีกทั้งเรายังเห็นความคืบหน้าของโครงการ “Coo พิษณุโลก” ซึ่งได้ทำการขายและโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 94% และ 93% ตามลำดับ

อัตรากำไรขั้นต้น (ไม่รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 34.5 % (เพิ่มขึ้น 1.6%จากปีก่อน) ในทิศทางเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 32.6 (เพิ่มขึ้น 1.5 %จากปีก่อน) ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการร่วมทุนยังคงอยู่ในระดับสูง และช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของรายได้จากอสังริมทรัพย์ (รวมรายได้ 51 %จากโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 35.0 %(เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อน)

จากสถานการณ์ในปัจจุบัน เราให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 1,147 ล้านบาท (ลดลง 23.6 %จากปีก่อน) แต่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 21.2% (เพิ่มขึ้น 1.9 %จากปีก่อน) เนื่องจากฐานรายได้ต่ำกว่าปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการร่วมทุน เมื่อคิดรวมรายได้ 51% จากโครงการร่วมทุน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะลดลงไปอยู่ที่ 19.8%

ส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุน (ร้อยละ 100) ในไตรมาส 1 ปี 2563 อยู่ที่ 1,421 ล้านบาท (ลดลง 36.5% จากปีก่อน) และมี “ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้า” เท่ากับ 109 ล้านบาท (ลดลง 62.8 %จากปีก่อน)

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 อยู่ที่ 618 ล้านบาท หรือลดลง 42.7 %เมื่อเทียบกับฐานสูงในปีก่อนหน้า อัตรากำไรสุทธิลดลงมาอยู่ที่ 11.4% (ลดลง 2.4% จากปีก่อน)

ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน บริษัทฯยังได้แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติกการออกและเสนอขายหุ้นกู้ภายในวงเงินเพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*