เวนเจอร์ โฮลดิ้งฯ จ่อผุดคอนโดฯร่วมทุนกับกลุ่มสิงคโปร์ทำเลบ้านฉาง ต่อเนื่อง มั่นใจศักยภาพทำเลมีดีมานด์คนรุ่นใหม่ไลฟ์สไตล์ชอบอาคารชุดมากกว่าแนวราบ ด้านเดอะ เซนโทร คอนโด บางแสนยอดขายสวนกระแสโควิด-19 นักลงทุนไทยจีน แห่ซื้อยกล็อตปล่อยเช่าระบุ EEC ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ เตรียมเปิดขายอาคารเอ ..นี้ คาดปลายปี63 ยอดขายแตะ 300 ล้านบาท
นายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล
นายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการบริษัท เวนเจอร์ โฮลดิ้งจำกัด ผู้ดำเนินโครงการ โครงการเดอะ เซนโทร คอนโด บางแสนซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ABN โฮลดิ้ง จากประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า กลุ่มของตนและกลุ่มทุนสิงคโปร์ มีแผนที่จะร่วมทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)อย่างต่อเนื่อง โดยมองในพื้นที่อ.บ้านฉาง.ระยอง เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่กึ่งกลางระหว่างสนามบินอู่ตะเภาและอำเภอเมืองระยอง ซึ่งมองว่าพื้นที่ดังกล่าวซัพพลายคอนโดฯยังไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง  ขณะที่ดีมานด์ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่จะชอบอยู่อาศัยในรูปแบบของคอนโดฯมากกว่าแนวราบ ความคืบหน้าขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาหาที่ดินที่มีศักยภาพ ซึ่งคงใช้พื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ ในรูปแบบของคอนโดฯโลว์ไรส์ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆได้ ทั้งนี้คงต้องรอดูศักยภาพของที่ดินที่ซื้อมาเสียก่อน คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายในปลายปี 2563 นี้

ส่วนความคืบหน้าโครงการเดอะ เซนโทร คอนโด บางแสนซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม ABN โฮลดิ้ง พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยบูรพา ขนาดตั้งแต่28-58.27 ตารางเมตร ราคา 1.49 ล้านบาทขึ้นไป หรือราคาเฉลี่ยที่ 50,000 บาท/ตารางเมตรจำนวน 304 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท โดยเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมาได้เปิดขายในส่วนของอาคารบีก่อน ซึ่งมีจำนวน 105 ยูนิต ขณะนี้มียอดขายแล้ว 93% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่เป็นนักลงทุน ซื้อเพื่อปล่อยเช่า และบางส่วนเป็นการซื้อเพื่อเก็งกำไร

ด้านอาคารเอ มีแผนจะเปิดพรีเซลในเดือนกรกฎาคม 2563 นี้ ซึ่งราคาขายอยู่ที่ประมาณ 1.49-3.12 ล้านบาท โดยจะมีส่วนต่างมากกกว่าอาคารบีประมาณ 100,000 บาท/ยูนิต ด้านการก่อสร้างคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปลายเดือนกรกฎาคม 2563 และแล้วเสร็จในไตรมาส1/2565 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาเลือกสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อโครงการ  ซึ่งคงกู้เพียงกว่า  10% เท่านั้น เพราะบริษัทและผู้ถือหุ้นมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน แต่ต้องการสร้าง Profile ไว้กับสถาบันการเงินไว้เท่านั้น

เดิมในช่วงเดือนมีนาคม เรามีแผนที่จะนำโครงการไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ แต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ก็มีลูกค้าคนไทย Walk in เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วง 2 เดือนเศษ มียอดขายที่สวนกระแส จำนวนกว่า 40 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 59 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีนักลงทุนจากกทม.ซื้อยกล็อตไป 15 ยูนิต จากก่อนหน้านี้ก็มีนักลงทุนซื้อยกล็อตไป 10 ยูนิต และมีจำนวนหลายสิบรายที่ซื้อเงินสด ส่วนยอด Reject มีเพียง 4 รายเท่านั้น คาดว่าจนถึงปลายปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมได้ประมาณ 300 ล้านบาทนายจักรพันธ์ กล่าว

นายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนจีน สิงคโปร์ สนใจเหมาบิ๊กล็อต 1-2 ชั้นจำนวนหลายสิบยูนิต ส่วนการไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ คงต้องรอให้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ซึ่งคาดว่าคงไม่เกินระยะเวลา 2 เดือนนี้ เพราะขณะนี้โครงการผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เจ้าของที่ดินเดิมก็สนใจที่จะซื้อยกล็อต ในช่วงใกล้ปิดโครงการในราคาพิเศษเช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าสนใจซื้อห้องชุดในโครงการเพราะตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ ราคาจับต้องได้ มีการออกแบบที่รองรับ Work from Home ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และที่สำคัญคือไม่มีคู่แข่งในย่านเดียวกัน

บางแสนไม่มีการพัฒนาคอนโดฯโลว์ไรส์มา 3-4 ปีแล้ว และตลาดค่อนข้างเงียบ ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการแนวราบบริเวณรอบนอกใจกลางบางแสน ซึ่งการที่เรากล้ามาพัฒนาเพราะเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนสิงคโปร์ที่มีศักยภาพ จึงมีความได้เปรียบโดยที่ดินแปลงนี้เราซื้อมาได้ถูกในราคาประมาณ 15 ล้านบาท/ไร่ ในขณะที่ราคาที่ดินทำเลนี้ขายกันในราคา 23-24 ล้านบาท/ไร่ ทำให้สินค้าที่พัฒนาตอบโจทย์ดีมานด์ ส่วนEEC นั้นมองว่า ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า เพราะจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความชัดเจนเลย นักลงทุนส่วนใหญ่จะเก็บเงินไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นและจับต้องได้มากกว่านายจักรพันธ์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*