“คลายล็อกแล้วลุย ยังไม่พอ เมื่อคลายล็อกแล้วต้องดูกำลังซื้อผู้บริโภคเป็นหลัก ดูภาวะความเสี่ยง สุขภาพของบริษัทเองเป็นหลัก”

…นั่นคือความเห็นของ “สุนทร สถาพร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด กล่าวกับทีมงาน prop2morrow.com ต่อประเด็นมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์โควิด-19 นั้นช่วย หนุนภาพรวมเศรษฐกิจ และภาคอสังหาฯค่อยๆดีขึ้น

“สถาพร เอสเตท” เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางๆในกลุ่มบริษัททรัพย์สถาพรโดยตระกูล “สถาพร” ที่มี “เฉลิม สถาพร” ผู้เป็นบิดาของ “สุนทร สถาพร” เป็นผู้ริเริ่มมีฐานธุรกิจจากการส่งออกสินค้าเกษตร ธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเรือ, และผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เป็นพลังงานทดแทนที่ผลิตจากผลผลิตทางการเกษตร มานานเกือบ 60 ปี เพราะเล็งเห็นว่า เมื่อมีธุรกิจด้านบริโภคแล้ว ปัจจัยสี่ด้าน “ที่อยู่อาศัย” ก็มีความสำคัญและเป็นสิ่งที่จำเป็นของมนุษย์จึงได้ขยายธุรกิจสู่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2535-2536 ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรกของ “สุนทร” มีบริษัทดำเนินธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 3 บริษัทดำเนินการภายใต้แนวคิดในการทำธุรกิจบน “ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และ ความซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ” ภายใต้สโลแกน “FOR THE NATURE OF LIFE” ดังนี้

• บริษัท ทรัพย์หิรัญ จำกัด พัฒนาหมู่บ้านนักกีฬาที่สมุทรปราการรวมถึงถึงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ ทรัพย์หิรัญ ทำเลสมุทรปราการเช่นกัน
• บริษัท เฉลิมนคร จำกัด พัฒนาที่อยู่อาศัยในโซนกรุงเทพฯตอนเหนือย่านรังสิต คลอง 3 ภายใต้แบรนด์ “บ้านสถาพร”
• และบริษัทสถาพร เอสเตท จำกัดได้ก่อตั้งขึ้นและเปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 650 ล้านบาท(ชำระแล้ว 50%) มี “ทรัพย์สถาพร” ซึ่งเป็นบริษัทแม่ถือหุ้น 100% โดย “สุนทร” นั่งบริหารงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทฯพร้อมกับประกาศแผนธุรกิจขยายการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยสู่คอนโดมิเนียมกลางเมืองเป็นครั้งแรก

หากมองย้อนการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัททรัพย์สถาพร จะมีสไตล์การลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวาหรือที่เรียกว่า “ช้าแต่ชัวร์”… แต่นับจากที่มีการ Re-branding พร้อมกลับมาเปิดเกมรุกอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งภายใต้บริษัทสถาพร เอสเตท จำกัด ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาและขาย 4 โครงการ ซึ่งเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการประกอบด้วย

โครงการ เดอะ เชดด์ สาทร1 (The SHADE Sathon1) เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคารบนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง มีจำนวนห้องชุดพักอาศัยจำนวน 278 ยูนิต มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 28-60 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาเริ่มต้นที่130,000 บาทต่อตร.ม.หรือราคาเริ่ม 3.69-7 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่ารวมโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาทเริ่มเปิดพรีเซล ตั้งแต่กันยายน 2561ปัจจุบันมียอดขายไปกว่า 60% ส่วนงานก่อสร้างโดยรวม คืบหน้าไปเกือบ 70% (งานก่อสร้างโครงสร้าง หรือ Structure 98%) เป็นไปตามแผนกำหนด มีพื้นที่บางชั้นได้ก่อสร้างแล้วเสร็จให้ลูกค้าได้เห็นพื้นที่จริงตั้งแต่ต้นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปีนี้แน่นอน

โครงการ อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล (ETERNITY TOWN PRIMROSE Vacharaphol) เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพียง 86 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.39 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 520 ล้านบาท

ส่วนที่เหลืออีก 2 โครงการ มีทั้งแนวราบและแนวสูงที่เตรียมในช่วงที่เหลือของปีนี้

การเปิดเกมรุกธุรกิจด้วยการตั้งเป้าหมายเปลี่ยนจากธุรกิจครอบครัวมาใช้นามสกุล “มหาชน” ในปี 2566 ด้วยการนำสถาพร เอสเตท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งนอกจากการขยายการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในรูปแบบที่หลากหลายแล้ว แพลทฟอร์มในการทำธุรกิจก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน นั่นคือ

• การเปลี่ยนแพลตฟอร์มการขาย จากเดิมที่คุ้นเคยในแบบการจัดงานพรีเซลล์ มาเป็นการทำการตลาดและการขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่ม
• สร้าง Business Model ใหม่ๆที่มีศักยภาพสูงในอนาคต
• พัฒนานวัตกรรมที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้าน

“สุนทร” ยังยอมรับว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 หรือนับจากปีนี้เป็นต้นไปนั้น “ไม่ง่าย” สำหรับดีเวลลอปเปอร์ ด้วยเพราะภาคธุรกิจที่ยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้านทั้งจากภาวะของเศรษฐกิจติดลบ ผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด -19 อีกทั้งตลาดยังมีการแข่งขันกันที่รุนแรง ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายนี้กลยุทธ์ที่ถือว่าเป็น “จุดเด่น” หรือเป็น “จุดแข็ง” ของบริษัทฯ นั่นก็คือ พัฒนาที่อยู่อาศัยระดับ “พรีเมียมโปรดักส์” ในราคาที่จับต้องได้ ทุกโครงการที่ลงทุนพัฒนาต้องอยู่ใน “ทำเลศักยภาพ” ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริงหรือตลาด “เรียลดีมานด์” อีกทั้งบริษัทฯยังมีฐานะทาง “การเงิน” หรือมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง

พร้อมกันนี้ “สุนทร” ยังสะท้อนแนวคิดในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้เห็นชัดเจนขึ้นบนฐาน “ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และ ความซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ” ภายใต้สโลแกน “FOR THE NATURE OF LIFE” ผ่าน สองโครงการตัวอย่างทั้งแนวราบและแนวสูง คือ โครงการ เดอะ เชดด์ สาทร1 ที่พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ อบอุ่นกับสัมผัสชีวิตที่เต็มไปด้วยร่มเงาแห่งความสุขกับคนที่คุณรัก ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบจัดการสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชีวิตไปพร้อมๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม บนทำเลใจกลางย่านธุรกิจ CBD ของกรุงเทพมหานคร ที่เพียบพร้อมไปด้วย อาคารสำนักงาน โรงเรียนชื่อดัง ศูนย์การค้าชั้นนำ เป็นต้น

สะดวกสบายกับการเดินทาง จากโครงการตั้งอยู่ในซอยศรีบำเพ็ญ (สาทร 1) เชื่อมต่อได้ทั้งถนนสาทร, ถนนพระราม 4 ใกล้ทางด่วน 2 เส้นหลัก ทั้งทางพิเศษเฉลิมมหานคร และ ทางพิเศษศรีรัช ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี และ สถานีคลองเตย เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของทุกคนในครอบครัว

เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของทุกคนในครอบครัวโครงการ เดอะ เชดด์ สาทร1จึงมาพร้อมแบบจัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ Grand Lobby, Pocket Lobby, Panoramic Fitness, Moonlight Pool, Sunset Garden, Welcome Garden, Co-inspiration Space, Multi Purpose Room, Smart Home Automation, Recycle Vending Machine, Smart Locker พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม และที่จอดรถมากถึง 63 %

ส่วนโครงการ อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล คืออีหนึ่งโครงการจากสถาพร เอสเตท ที่สะท้อนความสำเร็จในทุกการอยู่อาศัยได้อย่างแท้จริงตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านวัชรพล ซึ่งถือเป็นทำเล 1 ใน 10 อันดับทำเลน่าอยู่ และยังเป็นทำเล Top 5 ของที่อยู่อาศัยในแนวราบอีกด้วย งสามารถเชื่อมต่อได้ทุกการเดินทาง ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม สถานีสายหยุด และรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีวัชรพล เชื่อมการเดินทางไปสู่ย่านต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษา และสถานที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ

จุดเด่นของโครงการ อิเธอร์นิตี้ ทาวน์ พริมโรส วัชรพล นั้น นับว่าสะท้อนความสำเร็จในทุกการอยู่อาศัยได้อย่างแท้จริงสอดรับกับวิถีชีวิต “New Normal” ที่เกิดขึ้นในยุค “COVID-19” ด้วยการออกแบบให้โครงการมีเพียง 86 ยูนิตเท่านั้น รวมถึงคำนวณระยะการเดินทางจากท้ายโครงการมาที่ Main Gate หรือ Club House เพียงแค่ 165 เมตร ทั้งยังออกแบบให้ Master Bedroom อยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน เพื่อให้ชั้น 2 เป็นศูนย์กลางของครอบครัว โดยบริเวณที่ใช้พักผ่อนมีความสูงถึง 2.7 เมตร และออกแบบให้มีห้องน้ำในตัวทุกห้องและพื้นที่ใช้งาน รวมถึงติดตั้งแผงโซล่าร์ที่จะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้านได้ถึง 20% มาพร้อมสเปซพิเศษที่ทุกคนออกแบบได้บนพื้นที่ส่วนตัว และรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัว อีกทั้งยังออกแบบสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อให้บริเวณหน้าบ้านดูไม่รก ซึ่งทั้งโครงการนี้มีระบบการก่อสร้างแบบ Conventional

นอกจากนี้ ยังมีคลับเฮ้าส์ที่ออกแบบให้หลังคาสามารถรองรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ Clubhouse with solar rooftop ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความหลากหลายของเจเนอเรชั่นกับชีวิตที่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Primrose Pool Club สระว่ายน้ำขนาดใหญ่สำหรับคนทุกวัยในครอบครัว Inspired-hub พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน Primrose Club ห้องออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ Primrose Central พื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีระบบ Access Card สำหรับเข้า – ออกโครงการ รวมถึงมีกล้องวงจรปิด CCTV รวมถึง Magnetic sensor ในตัวบ้านที่จะส่งสัญญาณเตือนไปยังมือถือของลูกค้าเจ้าของบ้านหากมีผู้บุกรุกพร้อมทั้งส่งสัญญาณไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

ทั้งนี้ใช่เพียงสองโครงการนี้เท่านั้นที่พัฒนาอยู่บน“ความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และ ความซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ” ภายใต้สโลแกน “FOR THE NATURE OF LIFE” หากแต่รวมทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาล้วนใส่ใจทุกชีวิต ทุกความเป็นอยู่

โดย “สุนทร” กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า บริษัทฯให้ความสำคัญในการคิดค้นนวัตกรรมการออกแบบ GREENOVATION DESIGN SYSTEM ที่ช่วยให้ทุกชีวิตกสะดวกสบายขึ้น มาใช้ในโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมอาทิ ระบบ LIFE SOLUTION ที่ใส่ใจสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อม การออกแบบด้วย UNIVERSAL DESIGN ที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนทุกเพศทุกวัย และ การนำเทคโนโลยี SMART SOLUTION มาใช้เพื่อตอบโจทย์ชีวิตแห่งอนาคต

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*