เอพี ไทยแลนด์ หรือ AP  โชว์แบ็คล็อกกว่า 56,100 ล้านบาทเดินหน้าลุยลงทุนครึ่งหลังปี 2563 เตรียมเปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่า 26,000 ล้านบาท พร้อมรุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบภูมิภาคในรูปแบบโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” นำร่อง 5 จังหวัด มูลค่ารวม 4,700 ล้านบาท

 

วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนเป็นซูเปอร์โนวาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สร้างผลกระทบที่ใหญ่และรุนแรงกว่าวิกฤตครั้งไหนในอดีต ซึ่งก็รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน  แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ว่าผู้ประกอบการรายไหนจะไปต่อได้หรือไม่ อย่างไรก็คือ “การปรับตัว ยืดหยุ่น ไปต่อ ” สำหรับ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน)หรือ AP ที่ได้ปรับตัวมาตลอด ด้วยการเบรกการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมที่เดิมจะเปิดตัวในปีนี้ออกไป 4 โครงการมูลค่าโครงการรวม 12,100 ล้านบาท หันมาบุกตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW ขยายขอบเขตในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยการเปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่า 26,000 ล้านบาท(ลบ.)พร้อมปั้น “อภิทาวน์” แบรนด์ใหม่บุกตลาดต่างจังหวัดในรูปแบบโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ (Mix Products) ขณะที่ยอดขายรอรับรู้รายได้( Backlog )ในมือมากกว่า 56,149 ล้านบาท รับรู้รายได้จนถึงปี 2566

นายวิทการ จันทวิมล

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ ดำเนินงานด้วยความระมัดระวังควบคู่ไปกับการปรับแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา โดยมี EMPOWER LIVING เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญขององค์กร ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 15,085 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 15,500 ล้านบาท และจากโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการขายอีกกว่า 100 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 70,000 ล้านบาท พร้อมประสบความสำเร็จในการโอนกรรมสิทธิ์ LIFE ลาดพร้าว คอนโดมิเนียมร่วมทุนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทยอยส่งมอบเมื่อเดือนมีนาคม 2563ที่ผ่านมา เชื่อว่าดีมานด์คอนโดยังไม่หาย ด้วยความคุ้มค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น

จากยอดขายที่ทำได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 เท่ากับ15,085 ล้านบาทนั้นคิดเป็น 45% ของเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ตลอดทั้งปีเท่ากับ 33,500 ล้านบาท “ไตรมาส 2ปีนี้ เดิมเราคิดว่าจะเป็นจุดที่ต่ำสุด แต่พอเอาเข้าจริงๆยอดโอนของเราที่ทำได้มากกว่ายอดโอนที่เคยทำได้สูงสุดในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2561 เท่ากับ 10,000 ล้านบาท และยอดโอนไตรมาส 2ปีนี้ได้มากกว่าไตรมาส4 ปี 2559 ที่ทำได้ 11,500 ล้านบาท”

ลุยต่อแนวราบพร้อมปั้น “อภิทาวน์” แบรนด์ใหม่บุกตจว.

พร้อมกันนี้นายวิทการ ยังกล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทฯ ยังคงดำเนินงานตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW  ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ด้วยการเดินหน้าขยายขอบเขตในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมความต้องการของคนไทยมากขึ้น ผ่านแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบในตลาดภูมิภาคด้วยแบรนด์ “อภิทาวน์” นำร่อง 5 จังหวัด มูลค่ารวม 4,700 ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช, ระยอง, อยุธยา, ขอนแก่น และจังหวัดเชียงราย ในรูปแบบโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ (Mix Products) ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งในแบบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น 1.5 – 9 ล้านบาท แต่ละโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด 30 -40ไร่มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาทโดยจะเริ่มเปิดตัวโครงการที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในในช่วงวันที่ 26-27 กันยายนนี้ ส่วนที่เหลืออีก 4 แห่งจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี 2563

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท

การพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” นั้น จะเป็นชื่อแบรนด์สินค้าในกลุ่มต่างจังหวัดที่เพิ่มเข้ามาในพอร์ตเอพี ด้วยการผสาน 2 จุดแข็งหลัก ได้แก่

จุดแข็งแรก คือ การเป็นผู้นำในเรื่องของสเปซดีไซน์ (Leading in SPACE Design) โดยรูปแบบบ้านในแต่ละโครงการจะได้รับการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับความต้องการและพฤติกรรมของคนในแต่ละจังหวัดตามคอนเซ็ปต์ Dynamic Personalized Model

จุดแข็งที่สอง คือ Tech-Life Management การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ในการอยู่อาศัย ด้วยการติดตั้งนวัตกรรมคัดสรรภายในโครงการ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการความปลอดภัยภายในหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่คัดสรร ดูแลความปลอดภัยในทุกมิติของการอยู่อาศัยภายในหมู่บ้านจัดสรร ผ่านระบบแพลตฟอร์มอัจฉริยะ

นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ อีกจำนวน 21 โครงการ โดยเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,970 ล้านบาท และทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 13,330 ล้านบาท ดังนี้น โดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท

สำหรับสินค้าคอนโดมิเนียมในครึ่งหลังของปี 2563 นี้บริษัทฯ มีคอนโดมิเนียมใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จอยู่ในแผน การส่งมอบอีกจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่าโครงการ 9,800 ล้านบาท สถานะยอดขาย 94% พร้อมส่งมอบเดือนสิงหาคม2563 นี้ และโครงการ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท ยอดขาย 95% พร้อมส่งมอบเดือนสิงหาคม2563 นี้

บริษัทฯ ยังมี Backlogรอรับรู้ไปในอีก 3 ปีข้างหน้า (จนถึงปี 2566) เท่ากับ 56,149 ล้านบาท แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ ประมาณ 24% หรือเท่ากับ 13,234 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 76% มีมูลค่ามากถึง 42,915 ล้านบาท ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย บริษัทฯ มีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 18 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 21,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแม้จะส่งผลให้ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนระยะสั้นชะลอการตัดสินใจลงทุน แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวก็ยังคงเห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น และถึงแม้บริษัทฯ ได้ขยับแผนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ออกไป 4 โครงการมูลค่าโครงการรวม12,100 ล้านบาท  แต่ทีมงานทุกคนยังคงทำงานตามแผนเดิม เพื่อให้โครงการพร้อมเปิดตัวทันทีหากสถานการณ์ในไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้นหรือมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ

New Normal” ที่พูดกันยังเกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์แบบ 

นายวิทการ กล่าวให้ความเห็นด้วยว่า ผลกระทบที่เกิดโควิด -19 ครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต หากยังคงอยู่กับสภาวะความผันผวนเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม Challenge ที่น่าสนใจคือ วันนี้คำว่า New Normal ที่พูดถึงกันนั้น ยังเกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์แบบ  วิกฤตยังเดินไปไม่ถึงตอนจบ ยังไม่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีก ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปต่อท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ นอกจากความพร้อมของคนในองค์กร การบริหารกระแสเงินสดแล้ว แผนธุรกิจที่ยืดหยุ่นคือหนทางที่จะผ่านวิกฤตในครั้งนี้

ที่ผ่านมาโครงการภายใต้แบรนด์ AP มีพื้นฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว สะท้อนได้จากกราฟการเข้าเยี่ยมชมโครงการและยอดขายที่มีสัญญาณเป็นบวก โครงการแนวราบก็มีสัดส่วนการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนยอดการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ LIFE ลาดพร้าวที่เริ่มทยอยโอนในเดือนมีนาคม 2563 จึงเชื่อว่าภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และเข้าสู่ภาวะสมดุล

กล่าวโดย สรุปแผนการดำเนินงานธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2563 ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ทั้งปีนี้บริษัทฯ เปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 41,500 ล้านบาท จำนวน 40 โครงการ โดยแบ่งเป็นสินค้าบ้านเดี่ยวจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 20,470 ล้านบาท ทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 16,330 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้านบาท และมีสินค้าคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายจำนวน 18 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 21,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายที่ 33,500 ล้านบาท  ตั้งเป้ารายได้รวม 100% โครงการร่วมทุน 40,550 ล้านบาท เปิดตัวไปแล้วในครึ่งปีแรกจำนวน 14 โครงการ มูลค่าประมาณ 15,500 ล้านบาท สร้างยอดขายครึ่งปีแรกเท่ากับ 15,085 ล้านบาท

ในปี 2563 นี้บริษัทฯ มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเตรียมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ เริ่มส่งมอบไปแล้วในครึ่งปีแรก ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว มูลค่า 8,000 ล้านบาท และ ASPIRE สุขุมวิท-อ่อนนุช มูลค่า 1,600 ล้านบาท และเตรียมส่งมอบในครึ่งหลังปี2563 อีก 2 โครงการ ได้แก่ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,800 ล้านบาท และ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่า 2,900 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 56,149 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 13,234 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 42,915 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 15,602 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*