ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลดำเนินการ 6 เดือนสวนกระแสโควิด-19 ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่แตะ 100,981 ล้านบาท จำนวน 62,116 บัญชี  เพิ่มขึ้น 12.99% มั่นใจหากไม่มีวิกฤติรอบ 2 ยอดปล่อยสินเชื่อทั้งปีตามเป้า 210,000 ล้านบาทแน่ เชื่อหากไม่มีมาตรการรัฐตัวเลขNPL อาจพุ่งแตะระดับ 7.4 % ระบุหลังขยายมาตรการที่ 8.5 พบมีลูกค้าเข้าโครงการแล้วมูลค่า 3,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเดินหน้าปล่อยสินเชื่อ-ดูแลลูกค้าหลังสิ้นสุดระยะเวลามาตรการช่วยเหลือตามโครงการ “ธอส.ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ยกบริการขึ้นดิจิทัลเพิ่มขึ้นตามแผน GHB New Normal Services 
นายฉัตรชัย ศิริไล
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ว่า ตามที่ภาวะเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ ธอส. ธนาคารบ้านของคนไทย ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ยังคงเป็นสถาบันการเงินที่มีความเข้มแข็งและมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการธนาคาร โดยนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการธนาคาร ได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบ พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวหลังจากการแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลาย ด้วยการจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เป็นจำนวน 100,981 ล้านบาท 62,116 บัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.99% คิดเป็น 50% ซึ่งเชื่อว่าหากไม่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 และด้วยการปล่อยสินเชื่อใหม่ 17,000-18,000 ล้านบาทต่อเดือน การปล่อยสินเชื่อทั้งปี 2563 ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่จำนวน 210,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน นอกจากนี้ธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 2 ล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางจำนวน 40,504 ราย

ทำให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2563 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2562 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,256,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.89% สินทรัพย์รวม 1,300,881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.52% เงินฝากรวม 1,060,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.76% หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 56,827 ล้านบาท คิดเป็น 4.52% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 ที่มี NPL อยู่ที่ 4.09% หรือเพิ่มขึ้น 0.43% และมีกำไรสุทธิจำนวน 4,831 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 14.87% เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อความมั่นคงและเตรียมความพร้อมกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในอนาคต และรองรับการจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการ “ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ครอบคลุมความช่วยเหลือทั้งการพักชำระเงินต้น พักชำระดอกเบี้ย และลดดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งล่าสุด ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2563 เวลา 9.00 น. มีลูกค้าแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการแล้วจำนวน 490,725 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 488,024 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ยังอยู่ที่ระดับแข็งแกร่งโดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 อยู่ 15.35% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สินเชื่อปล่อยใหม่ของธนาคารยังคงขยายตัวได้ดี คือ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และการจัดทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขายของโครงการที่อยู่อาศัย ถือเป็นโอกาสที่ดีในการมีที่อยู่อาศัยของลูกค้าประชาชนที่ไม่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 รวมถึงมาตรการสนับสนุนของภาครัฐผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก มียอดอนุมัติสินเชื่อ 27,870 ราย เต็มกรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท โครงการบ้านดีมีดาวน์ ซึ่งรัฐลดภาระในการซื้อที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชน โดยสนับสนุนเงินดาวน์จำนวน 50,000 บาทต่อราย ซี่งมีประชาชนที่ได้รับเงินโอนเรียบร้อยแล้ว 19,549 ราย ขณะที่โครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกรณีลูกค้ารายย่อย โดยเพิ่มราคาซื้อขายและวงเงินกู้เป็นไม่เกิน 1.2 ล้านบาท จากเดิม 1 ล้านบาท ล่าสุดมีลูกค้าที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 29,931 ราย วงเงินสินเชื่อ 21,362 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2564

ถ้าไม่มีมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลัง  ตัวเลขNPL จะไม่อยู่ระดับ 4.52% น่าจะพุ่งไปแตะระดับ 7.4 %” นายฉัตรชัย กล่าว

อย่างไรก็ตามในครึ่งปีหลัง 2563  เชื่อว่ายังเผชิญกับปัญหาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก  โดยกระทรวงการคลัง ได้เปิดให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานในปี 2563 อีกครั้ง  ซึ่งคณะกรรมการธนาคาร ได้มีมติปรับเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่ เพื่อเสนอกระทรวงการคลังพิจารณาจากเดิม 210,000 ล้านบาท  ลดเหลือ 170,000 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 19% และกำไรสุทธิจากเดิม 13,177 ล้านบาท เหลือ 8,227 ล้านบาท หรือ ลดลง 37.5%  สอดคล้องกับการตั้งสำรองที่สูงขึ้นประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อรองรับสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) หลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของธนาคารในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่พักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย ซึ่งในเดือนสิงหาคมหรือก่อนสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการจำนวน 30 วัน เจ้าหน้าที่ธนาคารจะทยอยติดต่อลูกค้าเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการประเมินความสามารถในการ  ชำระหนี้ในอนาคต และหาแนวทางช่วยเหลือให้ลูกค้ากลับมามีสถานะบัญชีปกติให้มากที่สุดต่อไป    โดยทางธนาคารจะเข้าไปดูแลกลุ่มลูกค้าในมาตรการที่ 5 และมาตรการที่ 8 มีวงเงินกู้ที่เข้าร่วมโครงการสูงถึง 257,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่พักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย (มาตรการที่ 5) มีลูกค้าลงทะเบียนมากที่สุดถึง 174,598 บัญชี วงเงินกู้ 151,527 ล้านบาท ซึ่งก่อนสิ้นสุดมาตรการในเดือนสิงหาคม ทางธนาคารจะทยอยติดต่อลูกค้าเพื่อนำข้อมูลนำมาใช้ในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคต

“ทางธนาคารได้บรรเทาผลกระทบ โดยเปิดให้ลูกค้ากลุ่มในมาตรการที่ 5 แจ้งเข้ามาตรการที่ 8.5 ซึ่งว่าด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2536  ผ่าน Application GHB ALL ล่าสุด ณ วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าโครงการดังกล่าวแล้วมูลค่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่ในมาตรการที่ 8 กลุ่มลูกค้าที่เป็นหนี้เสียนั้น จำนวน 5,800 ราย เมื่อสามารถปรับโครงสร้างหนี้แล้ว กลายเป็นลูกหนี้ปกตินั้น ก็สามารถเข้าโปรแกรมพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้” นายฉัตรชัย กล่าว

นายฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรอบเรื่องช่วยเหลือลูกค้านั้น ได้มีการเสนอบอร์ดในกรอบการช่วยเหลือในมาตรการที่ 8.5 เป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก คือ สิ้นสุดเดือนตุลาคม 2563 นี้ และเฟส 2 จะไปสิ้นสุดมกราคม ปี 2564 ทั้งนี้ ต้องดูนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร โดยทางธนาคารยังยึดกรอบเดิมของทางการ ทั้งนี้  หากลูกค้าเข้าโครงการในเฟส 2 ไม่มาก ก็สามารถรองรับไปถึงเดือนเมษายน 2564 ได้

นอกจากนี้ ธอส. ยังพบว่า จากการที่ลูกค้าของธนาคารมีความต้องการและเกิดความคุ้นเคยที่จะใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้นเห็นได้จาก ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ธนาคารมีจำนวนลูกค้าที่สมัครใช้บริการ Application : GHB ALL และยังใช้งานอยู่จำนวน 656,783 บัญชี เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีจำนวนลูกค้าใช้งานอยู่ 242,180 บัญชี และปัจจุบันลูกค้ามีการทำธุรกรรมการโอนเงินและชำระหนี้เงินกู้ผ่าน GHB ALL จำนวน 509,123 รายการ เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีการทำธุรกรรมจำนวน 375,981 รายการ หรือเพิ่มขึ้น 35.4%    ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับพฤติกรรมของยังลูกค้าและการแข่งขันของธุรกิจสถาบันการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารจึงได้จัดทำแผน GHB New Normal Services ด้วยการนำบริการทางการเงินและสินเชื่อไปให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มเติมผ่าน Application : GHB ALL และเว็บไซต์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยแบ่งระยะเวลาดำเนินการออกเป็น 2 เฟส ประกอบด้วย

เฟสที่ 1 บริการทางด้านการเงินและสินเชื่อ อาทิ สมัครใช้บริการ GHB ALL ด้วยตนเอง เปิดบัญชีใหม่ ชำระเงินผ่อนดาวน์ทรัพย์ NPA ขอ Statement บัญชีเงินฝาก เปลี่ยนแปลงที่อยู่จัดส่งเอกสาร/การติดต่อ ซื้อสลากออมทรัพย์ การนัดหมายเข้าทำธุรกรรม ขอยอดปิดบัญชีเงินกู้ นัดหมายขอรับโฉนด ขอหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้     ขอใบแทนใบเสร็จ และการประมูลทรัพย์ NPA Online ซึ่งจะเปิดให้บริการลูกค้าได้ภายในวันที่ 16 กันยายน 2563

เฟสที่ 2 จะเพิ่มบริการ อาทิ ชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน การรับเงินค่าธรรมเนียมคืนตามโปรโมชั่น การรับเงินของขวัญปีใหม่ที่ธนาคารมอบให้ลูกค้าตามจำนวนที่กำหนด ขอหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินฝาก ขอตรวจข้อมูลเครดิตบูโร การกู้เพิ่ม และการขอหนังสือรับรองเพื่อเบิกค่าเช่าบ้านตามสิทธิสวัสดิการ ซึ่งจะให้บริการลูกค้าได้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563

“ช่วงเวลาที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ธนาคารได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการ ธอส.ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ  ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกวา 490,725 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 488,024 ล้านบาท ส่วนมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2.5% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก มียอดอนุมัติสินเชื่อ 27,870 ราย เต็มกรอบบวงเงิน 50,000 ล้านบาท โครงการบ้านดีมีดาวน์ สนับสนุนเงินดาวน์ 50,000 บาทต่อราย มีผู้รับได้รับเงินแล้ว 19,549 ราย  ในส่วนของโครงการบ้านล้านหลัง ภายหลังได้มีการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกรณีลุกค้ารายย่อย โดยเพิ่มราคาซื้อขายและวงเงินกู้เป็นไม่เกิน 1.2 ล้านบาท จากเดิม 1 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้าได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 29,931 ราย วงเงินสินเชื่อ 21,362 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2564” นายฉัตรชัย กล่าว

ในด้านแผนการบริหารจัดการด้านเงินฝากเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยการจำหน่ายสลากออมทรัพย์ ชุด “พิมานมาศ” หน่วยละ 50,000 บาท ให้ได้ตามเป้า 1,000,000 หน่วย ภายในเดือนกันยายน 2563 โดยล่าสุดจำหน่ายไปแล้วกว่า 380,000 หน่วย ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนดีสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และมีโอกาสถูกรางวัลสูง ฝากครบ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคิดเป็นผลตอบแทน 0.9% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือน หมวดละ 10 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 50,000 บาท ทุกหน่วย มีโอกาสในการถูกรางวัล 0.01% สูงกว่าสลากทั่วไป และยังสามารถถูกรางวัลซ้ำได้ทุก ๆ เดือน รวมถึงมีโอกาสลุ้นรางวัล Jackpot หมวดละ 2 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 500,000 บาททุกไตรมาส หากถูกรางวัลมูลค่า 50,000 บาท จำนวน 1 ครั้ง ขณะที่ดอกเบี้ยและเงินรางวัลที่ผู้ฝากได้รับจากสลากออมทรัพย์ ธอส. ยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“ขณะที่ด้านบุคลากรและสาขาของธนาคาร ยืนยันว่าไม่มีแผนที่จะปรับลดจำนวนพนักงานและผู้ปฏิบัติงานของธนาคารซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 5,000 คน และไม่ลดสาขาที่มีกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ แต่จะมุ่งพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความสามารถที่จะรองรับการให้บริการรูปแบบใหม่ให้ได้มากยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์ของ COVID-19 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อช่วยให้ประชาชนให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ไม่น้อยกว่า 170,000 ล้านบาท หรือปล่อยได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ที่ 210,000 ล้านบาทให้ได้มากที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้นต่อไป”นายฉัตรชัย กล่าวในที่สุด

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*