เอสซีฯเดินหน้ารุกตลาดแนวราบตามแผน ไตรมาส4/63 จ่อผุด 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่า  5,900 ล้านบาท ระบุลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วกว่าอดีต มั่นใจทั้งปีกวาดยอดขายแนวราบเกินเป้า12,000 ล้านบาท และดันยอดขายรวมแตะ 17,000 ล้านบาท ด้านคอลลิเออร์สฯเผยซัพพลายแนวราบ ราคามากกว่า 10 ล้านบาทยังสอดคล้องดีมานด์ ชี้ย่านพัฒนาการอ่อนนุชกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และบางนา เป็นทำเลยอดฮิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์
นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์  หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชนหรือ SC เปิดเผยว่า จากปัจจัยลบทั้งสภาวะเศรษฐกิจ และโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทต้องชะลอแผนการเปิดโครงการประเภทคอนโดฯในปี 2563 นี้ออกไปในปี 2564 แทน ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ คือ สโคป ทองหล่อ,สโคป สุขุมวิท49 และ เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนเซสขณะเดียวกันบริษัทฯก็รุกตลาดแนวราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนปี 2563 จำนวน 12 โครงการ รวมมูลค่า 14,200 ล้านบาท(ลบ.)โดยในครึ่งปีแรก เปิดตัวไปแล้ว 5 โครงการ รวมมูลค่า 6,200 ล้านบาท และครึ่งปีหลัง เปิดตัวอีก 7 โครงการ รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท

โดยในไตรมาส4/2563 จะเปิดตัวแนวราบใหม่ทั้งสิ้น 4 โครงการ  รวมมูลค่า 5,900 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด อีสต์ พระรามติดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก ตั้งอยู่บนพื้นที่  24 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  จำนวน 48 ยูนิต ขนาดที่ดินตั้งแต่100-170 ตารางวา  ราคาเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดพรีเซลในวันที่ 17-18 ตุลาคม 2563

2.โครงการ เดอะ เจนทริ พัฒนาการ ขนาดพื้นที่ 12 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์น จำนวน 34 ยูนิต ขนาดที่ดินตั้งแต่ 61.8-130 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่  29.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดพรีเซลในวันที่ 17-18 ตุลาคม 2563

3.โครงการเฮด ควอเตอร์ส วิภาวดี  พัฒนาในรูปแบบของโฮมออฟฟิศสไตล์ Modern Luxury  ขนาดที่ดินตั้งแต่ 31-52 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาทเปิดพรีเซลในวันที่  24-25 ตุลาคม 2563

4.โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เวสต์เกต ตั้งอยู่พื้นที่ 48 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ขนาดที่ดินตั้งแต่ 50-117 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 7.99-20 ล้านบาท จำนวน168 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลในวันที่  7-8 พฤศจิกายน 2563 นี้

ส่วนโครงการในต่างจังหวัดที่บริษัทฯมีโครงการที่พัฒนาอยู่แล้วนั้น ค่อนข้างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะโครงการในหัวหิน ที่ลูกค้าต่างมองหาที่อยู่อาศัยเพื่อพักผ่อนตากอากาศ หลีกหนีความวุ่นวายจากชีวิตในกรุงเทพฯ และสามารถอยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนได้ ทำให้หัวหินเป็นทำเลที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนไทย ทำให้โครงการ “The CREST Santora” ปิดการขายหมดไปในช่วงที่ผ่านมา และยังมีโครงการบูเลอวาร์ด ทัศคานี ชะอำหัวหินที่ขายได้เพิ่มขึ้น โดยมีโครงการเหลือขายอยู่ที่ 50%

สำหรับโครงการที่เปิดพรีเซลไปก่อนหน้านี้และได้รับการตอบรับที่ดี  ได้แก่ โครงการแกรนด์บางกอก  บูเลอวาร์ด บางนาอ่อนนุช ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท

ด้านโครงการคอนโดมิเนียมหรูของบริษัทยังมียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยที่โครงการSALADAENG ONE ราคาขายเริ่มต้น 15 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขาย 9 ยูนิตสุดท้าย ซึ่งจะทยอยขายกับลูกค้าที่สนใจต่อเนื่อง ส่วนโครงการBEATNIQ สุขุมวิท 32 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60% และโครงการ “28 Chidlom” ยังสามารถขายได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเริ่มมีแนวโน้มตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น จากการเตรียมข้อมูลในการนำเสนอโครงการของบริษัทของทีมงานที่ให้กับลูกค้าที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจง่าย และลูกค้าเห็นถึงองค์ประกอบและฟังก์ชั่นของบ้านอย่างชัดเจน ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้นจากเดิมที่ลูกค้าเข้ามาชมโครงการ 4-5 ครั้ง แล้วถึงปิดการขายได้ แต่ปัจจุบันลูกค้าเข้าชมโครงการเพียง 2 ครั้งก็สามารถปิดการขายได้แล้ว

ล่าสุดได้จัดแคมเปญ   IT’S WORTH EVERYTHING”  ซึ่งนำทั้ง  11 โครงการคุณภาพ 11 ดีไซน์ ภายใต้ แบรนด์ Grand Bangkok Boulevard และ The Gentry  บนหลากหลายทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ มอบข้อเสนอพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ – 11 ตุลาคม 2563 เพื่อเป็นการมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า และระบายสต็อกของบริษัทฯด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีสต็อกโครงการแนวราบมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ได้ตามเป้าหมาย หรือมีโอกาสเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12,000 ล้านบาท หลังจากที่ปัจจุบันยอดขายแนวราบทำได้แล้ว 11,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาโครงการแนวราบถือว่าทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยที่มืพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ประกอบกับการเป็นผู้นำโครงการแนวราบของบริษัท ที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่น ทำให้โครงการแนวราบของบริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา และเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมของบริษัทฯในปีนี้เป็นไปตามเป้า 17,000 ล้านบาท

นายภัทรชัย ทวีวงศ์

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวว่า จากปัจจัยลบที่กระทบตลาดคอนโดฯ โดยพบว่าในช่วง3 ไตรมาสที่ผ่านมา มีคอนโดฯเปิดใหม่เพียง 15,500 ยูนิต ติดลบ 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ที่ผ่าน มา และคาดว่าอุปทานคอนโดฯเปิดใหม่ในปี 2563 อาจติดลบสูงถึง 55%. คือมีจำนวนเพียง 20,000 ยูนิต

ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมีอัตราการเติบโตสูง มีอัตราการขายที่สูง ถือเป็นดาวเด่นในปี2563 โดยในครึ่งปีแรก พบว่าแนวราบในพื้นที่ กทม.มีการเปิดตัวมากกว่า 900 ยูนิต และมีอัตราการดูดซับไปแล้ว 3.8%ต่อเดือน คาดว่าอุปทานที่อยู่อาศัยแนวราบ ราคาเกิน 10 ล้านบาท ในพื้นที่กทม. ทั้งปีนี้จะมีเปิดตัวใหม่เกิน 1,500 ยูนิต ซึ่งสอดคล้องกับดีมานด์ในตลาด

ทั้งนี้จากการสำรวจยังพบว่า อุปทานที่อยู่อาศัยแนวราบ ราคาเกิน 10 ล้านบาท ในพื้นที่กทม. (จากโครงการแนวราบทั้งหมดในพื้นที่กทม.ที่อยู่ระหว่างเปิดขายกว่า 6,200 ยูนิต)มีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นผู้นำตลาดคือ

1.บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SC สัดส่วน 28% คิดเป็นจำนวน1,400 ยูนิต

2.บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH สัดส่วน 26%  คิดเป็นจำนวน 1,300 ยูนิต

3.บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) สัดส่วน 21%  คิดเป็นจำนวน 1,000 ยูนิต

โดยทำเลที่ผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจและเข้าไปพัฒนามากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือพัฒนาการ,อ่อนนุช,กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ และบางนา เพราะมีระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐขยายตัวเข้าไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูง ซึ่งราคาประเมินในทำเลดังกล่าวปรับตัวถึง 30-60% หรือเฉลี่ย 3-6% ต่อปี แต่ราคาขายนั้นสูงกว่าราคาประเมินเกิน 3 เท่าตัวทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาขายที่อยู่อาศัยสูงขึ้นตามด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*