ภาพรวมคอนโดมิเนียมหลังสิ้นสุดไตรมาส 3/2563 บนทำเลปุณณวิถี-อุดมสุข มีอัตราการขายสูงถึง 68.3% จาก 13 โครงการ 8,125 ยูนิต โดยห้องชุดแบบ สตูดิโอ มีอัตราการขายสูงสุด ประมาณ 90% ในขณะที่ผู้ประกอบการนิยมพัฒนาห้องชุดแบบ 1 ห้องนอนมากที่สุดถึง 5,111 ยูนิต คิดเป็น 62.9% และนิยมพัฒนาโครงการในระดับราคา 3,000,001 – 5,000,000 บาท มากที่สุดถึง 2,234 ยูนิต หรือคิดเป็น 27.5% โดยมีช่วงระดับราคา 2,250,001 – 2,500,000 บาท ขายดีสูงสุดถึง 91% 

คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย เปิดเผยถึงข้อมูลภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลย่านปุณณวิถี-อุดมสุข ถือว่าเป็นอีกทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่มีอัตราการขายของโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จากอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 13 โครงการ จำนวน 8,125 ยูนิต มูลค่าโครงการ 31,442 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 5,551 ยูนิต หรือคิดเป็น 68.3% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด เหลือขายประมาณ 2,574 ยูนิต หรือคิดเป็น 31.7% ซึ่งหลังจากการเปิดตัวของโครงการ 101 the third place ซึ่งเป็นโครงการ Mix Use บนพื้นที่ 43 ไร่ พื้นที่โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมือง ริมถนนสุขุมวิท ติดรถไฟฟ้าปุณณวิถี บนพื้นที่ 200,000 ตร.ม. ที่สามารถรองรับผู้ใช้งานได้ถึง 20,000 คน ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วนหลัก ที่ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ได้ครบเครื่อง ทั้งที่ทำงาน และพักผ่อน เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destination) ของคนในยุคดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาโครงการ ศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาสใจกลางแหล่งธุรกิจ คือ แบงค็อก มอลล์ (BANGKOK MALL) มูลค่าโครงการ 50,000 ล้านบาท พื้นที่การพัฒนากว่า 800,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นโครงการระดับแฟลกชิป (FLAGSHIP PROJECT) มิกซ์ยูสโปรเจกต์ ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จในปี 2565 รวมถึงโครงการการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานให้เช่าใหม่อีกหลายโครงการบนทำเลย่านนี้ ล้วนเป็นปัจจัยบวกและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับทำเลในพื้นที่สุขุมวิทตอนปลายได้เป็นอย่างมาก

ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้ทำเลนี้เป็นทำเลที่ร้อนแรงและน่าจับตามองเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมารวมถึงในอนาคต ซึ่งพบว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ริสแลนด์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่ในฮ่องกงเปิดตัวโครงการ “สกายไรซ์ อเวนิว สุขุมวิท 64” (Skyrise Avenue Sukhumvit 64) ในเฟสที่ 1 มูลค่าโครงการกว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนา Mixed-Use ขนาดใหญ่ที่สุดในย่านสุขุมวิท 64 ซึ่งถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของริสแลนด์ ประเทศไทย ในทำเลศักยภาพบนถนนสุขุมวิท โดยเป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ จำนวน 4 อาคาร (เฟสที่ 1) โดยมี อาคารสูง 46 ชั้น 1 อาคาร, อาคารสูง 48 ชั้น จำนวน 2 อาคาร และอาคารสูง 49 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 1,961 ยูนิต โดยเปิดขายในเฟส 1 ที่มีมูลค่าการพัฒนาถึง 9,060 ล้านบาท จากมูลค่ารวมทั้งโครงการกว่า 15,000 ล้านบาท นอกจากนี่พบว่า ยังมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ เช่น บจ. วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ เตรียมที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ บนทำเลย่านนี่ ภายใต้แบรนด์ ไอคอน อุดมสุข ซึ่งเป็นคอนโด โลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนห้อง 334 ยูนิต อีก 1 โครงการบนทำเลย่านนี่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทำเลย่านนี่ค่อนข้างคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาสวนกระแสของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯที่ถือว่าอยู่ในภาวะชะลอตัว

สำหรับปัจจุบันคอนโดมิเนียมในทำเลย่านปุณณวิถีปัจจุบัน มีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 13 โครงการ จำนวน 8,125 ยูนิต มูลค่าโครงการ 31,5442 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 5,551 ยูนิต หรือคิดเป็น 68% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด เหลือขายประมาณ 2,574 ยูนิต หรือคิดเป็น 32%

จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 13 โครงการ ประมาณ 8,125 ยูนิต พบว่า ผู้ประกอบการพัฒนาเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอนมากที่สุดถึง 5,111 ยูนิต หรือคิดเป็น 62.9% โดยรองลงมาเป็น รูปแบบ 2 ห้องนอน 1,962 ยูนิต หรือคิดเป็น 24.1% และ รูปแบบ สตูดิโอที่ประมาณ 1,248 ยูนิต หรือคิดเป็น 15.4% และจากการสำรวจพบว่า รูปแบบ สตูดิโอ ขายได้มากที่สุดที่ประมาณ 90.1% คือสามารถขายได้แล้วประมาณ 1,124 ยูนิต จากอุปทานทั้งหมด 1,248 ยูนิต รองลงมาคือ รูปแบบ 1 ห้องนอนที่ขายไปแล้ว 3,350 ยูนิต หรือคิดเป็น 65.5% จากอุปทานทั้งหมด 5,111 ยูนิต และรูปแบบ 2 ห้องนอน ที่ขายได้ประมาณ 1,059 ยูนิต จากหน่วยขายทั้งหมด 1,692 ยูนิต หรือคิดเป็น 62.6%

จากข้อมูลพบว่า คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในทำเลย่านปุณณวิถี – อุดมสุข พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการนิยมพัฒนาโครงการอยู่ในระดับ3,000,001 – 5,000,000 มากที่สุดที่ 2,234 ยูนิตหรือคิดเป็น 27.5% รองลงมาคือระดับราคา 5,000,001 – 7,500,000 ที่ประมาณ 1,730 ยูนิต หรือคิดเป็น 21.3% และรพดับราคา 2,500,001 – 3,000,000 ที่ประมาณ 1,558 ยูนิต หรือคิดเป็นประมาณ 19.2% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด และพบว่าในช่วงระดับราคา 2,250,001 – 2,500,000 เป็นช่วงราคาที่ขายดีที่สุดสามารถขายไปได้ประมาณ 91.0% จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด และตามาด้วยระดับราคา 2,500,001 – 3,000,000 ที่สามารถขายไปได้แล้วประมาณ 87.2%

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*