ซี.พี.แลนด์ฯ รับวิกฤติโควิด-19 กระทบธุรกิจในเครือ ส่งผลปรับแผนการลงทุนไม่ขยายเกินตัว เน้นพัฒนาโครงการที่เชี่ยวชาญ พร้อมสวนกระแสเศรษฐกิจปี64 รุกผุดรร.ขนาดเล็กแบรนด์ใหม่ 5-10 แห่ง รองรับดีมานด์ในประเทศ เชื่อปีหน้าภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แนะรัฐบาลกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย
นายสุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร โรงแรมในเครือฟอร์จูน บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ CPLAND เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจว่า ปี 2563 ถือว่าไม่ใช่ปีที่ดีของกลุ่ม CPAND เนื่องจากหลายธุรกิจในเครือได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทฯปรับแผนการลงทุนในอนาคตให้ด้วยการความรอบคอบมากขึ้น โดยจะไม่เร่งการขยายโครงการมากเกินไป และเน้นพัฒนาแต่โครงการที่มีความเชี่ยวชาญ

สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้แก่

-ธุรกิจอาคารสำนักงาน โดยปัจจุบันมีอาคารสำนักงานให้เช่ารวมกว่า 10 แห่ง พื้นที่ประมาณ 500,000 ตารางเมตร แต่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ลูกค้าหลายรายมีการลดขนาดพื้นที่เช่ามากขึ้น อาคารบางแห่งมีผู้เช่าลดน้อยลง ส่งผลต้องปรับค่าเช่าลงมา เพื่อช่วยเหลือผู้เช่า ในขณะที่ส่วนที่เป็นพื้นที่ค้าปลีก ในช่วงวิกฤติโควิด-19 บริษัทฯได้มีการเว้นการเก็บค่าเช่า เพื่อช่วยเหลือลูกค้าเช่นกัน

-ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 จึงไม่สามารถมาดูพื้นที่ก่อสร้างจริงได้ คาดว่าเมื่อวิกฤติดังกล่าวผ่านไป ลูกค้าที่ให้ความสนใจเดิมจะกลับมาลงทุนอย่างแน่นอน

-ธุรกิจคอนโดมิเนียม ซึ่งยอมรับว่าลูกค้าที่ซื้อห้องชุดในการละโครงการ ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อเป็นจำนวนมาก(Reject)อาทิ ลูกค้าจำวน 100 คน ถูก Reject ถึง 30% แต่ทั้งนี้บริษัทยังมีความโชคดีที่การลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯเกือบ 100% ที่ใช้เงินลงทุนของบริษัทเอง โดยขณะนี้ยังมีคอนโดฯในหลายจังหวัดที่เหลือขาย และยังต้องระบายสต๊อกยาวถึงปี 2564 ส่วนใหญ่มียอดขายเกินกว่า 50% แล้ว และยังคงไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ขึ้นมาแต่อย่างใด

-ธุรกิจโรงแรม ถือว่าได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะโรงแรมในเครือที่เปิดให้บริการในพื้นที่กทม. เพราะลูกค้าที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ในขณะที่โรงแรมในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรอง จะเป็นการเน้นลูกค้าในประเทศ ยังมีผู้ใช้บริการเข้าพักอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการลงทุนพัฒนาโรงแรมแล้ว 14 แห่ง รวมกว่า 2,000 ห้อง

ดังนั้นในปี 2564 บริษัทฯจึงพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการเตรียมแผนที่จะลงทุนพัฒนาโรงแรมในพื้นที่จังหวัดหัวเมืองรองและจังหวัดการค้าชายแดน แหล่งอุตสาหกรรม อย่างต่อเนื่อง ประมาณ 5-10 แห่ง ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กแบรนด์ใหม่  พื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ จำนวนไม่เกิน 100 ห้องพัก ซึ่งแต่ละห้องจะใช้งบลงทุนประมาณ 700,000- 1,000,000 ล้านบาท  โดยรูปแบบที่ดินที่นำมาพัฒนาอาจจะเป็นได้ใน 3 รูปแบบคือ การซื้อที่ดินแปลงใหม่มาพัฒนา,การซื้อที่ดินแปลงศักยภาพของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP มาพัฒนา และการเช่าที่ดินระยะยาว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระะหว่างการศึกษาข้อมูลในแต่ละพื้นที่ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ผมทำธุรกิจมาเยอะหลายปี ยังไม่เคยเจอวิกฤติเหมือนโควิด-19 ที่กระทบไปทั่วโลก ทำให้ได้บทเรียนว่า ในการทำธุรกิจจะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี พนักงานต้องมีความซื่อสัตย์ คนที่ทุจริต เป็นเรื่องที่ผมยอมไม่ได้ เชื่อว่าปี 2564 จะเป็นปีที่แย่กว่าปี 2563 เพราะทุกคนมีรายได้ที่ตกลงไป จึงอยากให้รัฐบาลช่วยกระจายรายได้ให้สม่ำเสมอมากกว่าที่เคยดำเนินการอยู่ เพื่อไม่สร้างความเหลื่อมล้ำ” นายสุนทร กล่าว

ด้านนายเชิดชัย กมลเนตร รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจโรงแรม CPLAND กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทฯมีแผนจะพัฒนาโรงแรมใหม่เพิ่ม โดยจะใช้แบรนด์เล็ก หรืออาจจะเป็นการแตกแบรนด์ใหม่เพิ่มเติมออกมาอีก 1 แบรนด์ ซึ่งบริษัทได้เห็นโอกาสในการลงทุน เนื่องจากการที่บริษัทได้มีการเดินหน้าเรื่องการบริหารจัดการลงทุนในธุรกิจโรงแรม ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เห็นว่าธุรกิจโรงแรมที่อยู่ตามหัวเมืองรอง ยังมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของผลตอบแทนและมีความสำเร็จไปในทิศทางที่เป็นบวกได้ง่ายกว่าโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงตลาดต่างชาติ

“อยากให้ภาครัฐได้มีการผลักดันให้หน่วยงานราชการที่มีความจำเป็นในเรื่องของการประชุมสัมมนา ยังมีการดำเนินการต่ออย่างต่อเนื่อง ตรงนี้จะเป็นการช่วยกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมอยู่ตามต่างจังหวัด จะเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกิดการเข้าพัก การใช้บริการห้องสัมมนา การจัดเลี้ยงอีกด้วย ซึ่ในตรงนี้ถ้าเกิดมีการผลักดันและสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจะเป็นการช่วยผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี”นายเชิดชัย กล่าว

ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโรงแรม “ฟอร์จูนแสงจันทร์ บีช ระยอง” พัฒนาบนพื้นที่กว่า 2 ไร่  จากทั้งหมด 4 ไร่เศษ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว สูง 7 ชั้น จำนวน 107 ห้อง รวมถึงห้องประชุมสัมมนา ที่รองรับลูกค้าได้มากกว่า 200 คนขึ้นไป คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 200 ล้านบาท  โดยได้เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา โดยช่วงวันธรรมดามีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 35-40%ต่อวัน หากเป็นช่วงวันหยุดมีอัตราการเข้าพักสูง 80-90% โดยลูกค้าที่มาใช้บริการเป็นคนไทยทั้งหมด

ส่วนพื้นที่อีกประมาณ 2 ไร่เศษ เป็นการพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ “เดอะ คอร์ทยาร์ด ระยอง”  สูง 8 ชั้น ขนาด 29-32 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.7-4 ล้านบาท  จำนวน 176 ยูนิต โดยเปิดการขายเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*