พลัสฯเผยทิศทางตลาดอสังหาฯ ยังต้องเฝ้าระวัง แม้มีข่าวดีวัคซีนต้านโควิด-19 แต่การฟื้นตัวเศรษฐกิจยังต้องใช้เวลา ยังไม่สดใสแต่ยังมีแรงซื้อจากกลุ่ม Real Demand    ระบุ 6 เทรนด์หลักที่มีอิทธิพลต่อตลาดอยู่อาศัยปี64 พบ Wellness, Senior Living, ราคาจับต้องได้, ทำเลใหม่ชานเมือง มาแรง แนะผู้ประกอบการปรับตัวเพิ่มมูลค่าให้โครงการด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย พร้อมการบริหารจัดการที่มีทีมช่างดูแลลูกบ้านอย่างมืออาชีพ
นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย
นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลและประเมินสถานการณ์ของพลัสฯ พบว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 จะยังคงต้องระมัดระวัง แม้จะมีข่าวดีเรื่องวัคซีนต้านโควิด-19 แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่เห็นผลทันที อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อจากกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่บางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอดูทิศทางเศรษฐกิจในปี 2564  ก็จะเริ่มมีมากขึ้น เพราะการซื้อที่อยู่อาศัยในปีหน้าก็ยังถือเป็นโอกาสทอง เพราะยังอยู่ในช่วงที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับราคาลดลงมาจากปกติในสัดส่วนที่น่าสนใจ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ

ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ฯ คาดว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่อจากนี้ จะได้รับอิทธิพลจาก 6 ปัจจัยที่มีความน่าสนใจ ดังนี้

1.Wellness พลิกโฉมการออกแบบ เทรนด์ Wellness หรือปัจจัยด้านสุขภาวะ ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในตลาดที่อยู่อาศัย 2-3 ปีแล้ว แต่หลังจากทั่วโลกได้เผชิญกับโควิด-19 ประเด็นนี้จะถูกให้น้ำหนักมากขึ้น เริ่มตั้งแต่การพัฒนาโครงการ (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน) การดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานของอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้อยู่ในลักษณะของ Universal Design วัสดุที่ใช้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย สิ่งเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทต่อผู้พัฒนาโครงการ ตลอดจนประกอบการตัดสินใจซื้อมากขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต New Normal อาทิ การลดการสัมผัส  การจัดสรรพื้นที่ในที่พักอาศัยเพื่อรองรับการทำงานที่บ้านที่จะยังคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนกลางของโครงการหรือสำนักงานที่มีมุมผ่อนคลายหรือสถานที่ออกกำลังกาย เอื้อต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์ก็มีส่วนสำคัญ

2.Senior Living หรือที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่ได้มีการพัฒนาโครงการจากภาครัฐและเอกชนในรูปแบบของการผสมผสานที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงการดูแลสุขภาพและความปลอดภัย มีการจับมือร่วมกันพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ ร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำ หรือแม้กระทั่งการนำพื้นที่ของโรงแรมมาพัฒนาเป็นสถานที่ดูแลผู้สูงอายุ โดยมีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดรวมถึงจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสื่อสารระหว่างผู้อยู่อาศัยกับคุณหมอ

3.ที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท จับกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงานที่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องนั้น เราเริ่มเห็นผู้พัฒนาโครงการได้ออกมาเปิดโครงการระดับนี้กันมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มทาวน์โฮม บ้านแฝดที่ราคาเกิน 3 ล้านบาท ก็คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มาแรง

4.มีพื้นที่สีเขียวหรือสวนผักเพื่อบริโภค หรือที่เรียกกันว่าสวนผักทานได้ (Eat-Able Garden) เพื่อเป็นการสร้างอาหารปลอดสารให้กับครอบครัว ซึ่งเทรนด์นี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกทั้งในกลุ่มที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงาน ได้มีการนำปัจจัยเรื่องพื้นที่สร้างแหล่งอาหารไปพิจารณาในการประเมินมาตรฐาน WELL และ Fitwel เพื่อมอบรางวัลด้านบริหารจัดการให้กับอาคารที่ออกแบบและบริหารจัดการที่ใส่ใจต่อสุขภาวะของพนักงานและผู้ใช้อาคารด้วยเช่นกัน

5.Urbanization ทำเลที่อยู่อาศัยกระจายออกไปมากขึ้น จากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมต่างๆ และโครงการ Smart City ของรัฐบาล ทำให้เกิดทำเลใหม่ๆ ที่ได้รับความนิยมในการอยู่อาศัยกระจายออกไป ทั้งในโซนรอบกรุงเทพฯ บริเวณที่มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดงและสีเขียวที่จะขยายไปถึงปทุมธานี           ตลอดจนทำเลย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เนื่องจากเป็นทำเลเปิดใหม่และมีถนนทางเชื่อมการเดินทางเข้าสู่พื้นที่รามคำแหง พระราม 9 อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสู่สนามบินได้สะดวกรวดเร็ว สามารถเชื่อมต่อกับโครงการพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนจังหวัดที่ได้รับการส่งเสริมให้เป็น Smart City อย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

6.อุ่นใจด้วยบริการหลังการขายแบบมือออาชีพ เป็นหนึ่งในปัจจัยการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่ผู้ซื้อเริ่มตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น จากรูปแบบการอยู่อาศัยในโครงการคอนโดหรือแม้กระทั่งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ที่ต้องพึ่งพางานบริหารหลังการขายที่มีรายละเอียดของการให้บริการที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะงานช่าง ที่ลูกบ้านในแต่ละโครงการไม่สามารถจัดการเองได้ เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมก๊อกน้ำ ไปจนถึงงานที่ช่วยรักษาสภาพโครงการในภาพรวมให้สวยงามน่าอยู่ในระยะยาว เช่นงานระบบวิศวกรรมอาคารที่เป็นส่วนสำคัญในการรักษาสภาพโครงการและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ให้คงสภาพดีเหนือกาลเวลา

“นอกจาก 6 ปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบันให้ความสำคัญก็คือเรื่องของความคุ้มค่า โดยที่ผู้ซื้อจะไม่พิจารณาเฉพาะปัจจัยราคาถูกหรือราคาแพงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาว่าราคาที่จ่ายไปคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับหรือไม่ ดังนั้นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการใหม่ๆ ที่กำลังจะพัฒนา เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาดูแลระบบรักษาความปลอดภัย การมีแอปพลิเคชั่นในการบริหารจัดการโครงการ” นางสาวสุวรรณี กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*