โนเบิลฯเปิดแผนปี 64 ผุด 11 โครงการใหม่ ครอบคลุมแนวสูง-แนวราบ รวมมูลค่า 45,100 ล้านบาท ระบุเป็นโครงการร่วมทุน 2 พันธมิตรใหญ่ 6 โครงการ จ่อขายสินทรัพย์-ที่ดินอีก 2-3 แปลง ตั้งเป้าขึ้น Top 5 ด้านรายได้ในธุรกิจอสังหาฯ และผลักดันหุ้นของบริษัทเข้าไปติดใน SET100 และ SET50 ตามลำดับ
นายธงชัย บุศราพันธ์
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในวงจำกัด และคนไทยมีความตื่นตัวตลอด และป้องกันตนเองมากขึ้น สำหรับการดำเนินธุรกิจอาจจะมีผลกระทบในระยะสั้นเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมเห็นว่ามีวัคซีนและได้ผลแล้ว เชื่อว่าในไตรมาส 2-3 ของปี 2564 ทุกอย่างจะฟื้นตัวดีขึ้น  ในส่วนของการลงทุนของบริษัทฯจะมีความเสี่ยงน้อย โดยเฉพาะโครงการร่วมทุนที่พันธมิตรเป็นเจ้าของที่ดินอยู่แล้ว  สำหรับชาวต่างชาติเองก็ให้ความสำคัญในการลงทุนซื้ออสังหาฯในประเทศไทยค่อนข้างมาก หากสามารถเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ ก็จะช่วยผลักดันได้มากขึ้น

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 พร้อมเดินหน้าต่อเพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ  มูลค่ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 45,100 ล้านบาท(ลบ.) โดยแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน 5 โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U  ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จำนวน 5 โครงการ ได้แก่

1.โครงการทาวน์เฮาส์-บ้านแฝด ย่านสุขสวัสดิ์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 16 ไร่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท มีแผนเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

2.คอนโดฯโลว์ไรส์  ติดสถานีรถไฟฟ้าคูคต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 51 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็น 5 เฟส  รวม 6,000 ยูนิต  มูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

 3.คอนโดฯไฮไรส์ ย่านพระราม9  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ ติดกับอาคารยูนิลีเวอร์ มูลค่าโครงการ 5,900 ล้านบาท มีแผนจะเปิดขายในไตรมาส 4/2564

 4.โครงการย่านราษฎร์บูรณะ แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์-บ้านแฝด มูลค่า 1,900 ล้านบาท และเฟส2 เป็นการพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯไฮไรส์ มูลค่า 2,700 ล้านบาท

 5.โครงการย่านเอกมัย-รามอินทรา แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟสๆแรก เป็นการพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ บนพื้นที่ 23 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท มีแผนเปิดตัวในไตรมาส 4/2564  ส่วนเฟสที่ 2 เป็นการขายที่ดินเปล่าจัดสรร พร้อมระบบสาธารณูปโภค บนพื้นที่ 9 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการ “The Embassy at Wirelessตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ครึ่ง ย่านวิทยุ ติดสถานทูตสสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส2/2564

โดยในครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯ พร้อมประเดิมเปิดทั้งสิ้น 4 โครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ ประกอบด้วย

1.โครงการ NOBLE FORM THONGLOR มูลค่าโครงการประมาณ 5,400 ล้านบาท

2.โครงการ NUE NOBLE CENTRE BANGNA มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท

3. โครงการ THE EMBASSY AT WIRELESS มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท

4.โครงการ NUE CONDO AT DON MUEANG มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการอื่น ๆ อีก 7 โครงการซึ่งมีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮมนั้น บริษัทฯ วางแผนจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 เพื่อตอบรับกับนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น

“นอกเหนือจากการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 11 โครงการดังกล่าว ปี 2564 ยังถือเป็นก้าวสำคัญของโนเบิลฯในการตอกย้ำแนวคิดที่จะสร้างความแตกต่าง และเป็นปีแห่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์หลายเจ้า ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ และสามารถทำยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2564 ได้ตามเป้าอย่างแน่นอน” นายธงชัยกล่าว

และในปี  2566 มีแผนจะพัฒนาโครงการในธนาซิตี้ บางนา กม.14 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างโนเบิลฯ,สหพัฒน์และบีทีเอส กรุ๊ปพัฒนาในนามบริษัท ธนาซิตี้ เวนเจอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

อีกทั้งบริษัทฯยังมีแผนที่จะขายสินทรัพย์ของบริษัทที่เป็นรายประจำออกไป คือ โครงการ NOBLE REMIX ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับกองทุนที่สนใจซื้อ และอาจจะมีการขายที่ดิน 2-3 แปลง ที่บริษัทยังไม่พัฒนาออกไปในปี 2564 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“การที่เราขายโครงการที่เป็น Recurring Income ออกไป เพราะเราต้องการหันมาโฟกัสในส่วนของธุรกิจซื้อมาขายไปที่มีมาร์จิ้นที่สูงกว่า ทำให้เราสามารถรักษาระดับ Net Profit Margin ได้ 15% ต่อปี ซึ่งธุรกิจพัฒนาโครงการและขายไปนั้นมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจให้เช่าที่มีมาร์จิ้น 2-3% ต่อปี”นายธงชัย กล่าว

ด้านงบลงทุนของบริษัทในปี 2564 ได้วางไว้ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท งบลงทุนก่อสร้าง 4,000-5,000 ล้านบาท และงบสำหรับรองรับกาวางทุนอื่นๆและการชำระค่าหุ้นในส่วนที่บริษัทลงทุนในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC ) ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 บริษัทฯจะชำระเงินในสัดส่วนที่บริษัทลงทุน 20% ร่วมกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือSAWAD ซึ่งจะเป็นหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตและการเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีคุณภาพให้กับบริษัทได้มากขึ้น

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าผลักดันธุรกิจภายในปี 2566 ขึ้นเป็น Top 5 ด้านรายได้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีรายได้แตะ 15,000-20,000 และผลักดันหุ้นของบริษัทเข้าไปติดใน SET100 และ SET50 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามในปี 2564 นี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 11,000 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 10% โดยรายได้ของบริษัทในปีหน้าส่วนหนึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในปี 2564 ประมาณ  6,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 15,000 ล้านบาท   อีกทั้งจะมาจากการระบายสต๊อกของบริษัทในปีหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัททมีสต็อกทั้งหมดอยู่กว่า 15,000 ล้านบาท

ขณะที่การเปิดโครงการใหม่ในปี 2564 ที่จะมีการเปิดโครงการแนวราบทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที ซึ่งปกติโครงการแนวราบจะใช้ระยะเวลา 6 เดือนในการรับรู้รายได้เข้ามา ซึ่งจะเข้ามาเสริมรายได้ของบริษัทในปีหน้า

ส่วนเป้าหมายยอดขายของบริษัทในปี 2564 ตั้งเป้าไว้ที่ 16,000 ล้านบาท เติบโต 146% จากปี 2563 ที่คาดว่าทำได้ 6,500 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของยอดขายในปีหน้าจะมาจากการรุกเปิดโครงการที่ค่อนข้างมาในปี 2564 ของบริษัททั้งโครงการคอนโดมิเนียมและแนวราบ

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*