ในปี 2564 เป็นอีกหนึ่งปีที่ทุกภาคธุรกิจโดยเฉพาะอสังหาฯ ที่คาดการณ์ว่าจะเริ่มฟื้นตัว โดยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ต่างเริ่มปรับแผน และประกาศแผนในปี 2564 กันแล้วในบางส่วน ซึ่ง prop2morrow ได้นำแผนของ  บริษัทอสังหาฯรายใหญ่ 6 บริษัท มานำเสนอ พบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่รวมมากกว่า 100 โครงการ คาดว่ามูลค่าเกินกว่า 160,000 ล้านบาท  ส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดฯ ที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว  โดยโครงการแนวราบที่พัฒนาจะกระจายไปทุกเซกเตอร์ ในทำเลรอบกทม.-ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพและดีมานด์ ซึ่งบางบริษัทฯจะรวมโครงการที่เลื่อนการเปิดตัวจากปี 2563 มาเปิดตัวในปี 2564 ร่วมด้วย
พฤกษา”เปิดตัวมากสุด 35 โครงการ มูลค่า 35,000 ลบ.
โดยใน 4 บริษัทนี้ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ยังคงมีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดถึง 35 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท(ลบ.)ซึ่งเป็นการเลื่อนการเปิดโครงการจากแผนเดิมในปี 2563 ประมาณ 17 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปี 2564 จำนวน 5-7 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 10,000 ล้านบาท โดยจะมีการร่วมทุนทางธุรกิจ (JV) กับพันธมิตรญี่ปุ่น ในการพัฒนาโครงการส่วนจะเป็นโครงการใดยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้ ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายและรายได้จากฐานกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ราว 60% เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบน้อยในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายและรายได้ในปี 2564 กว่า 20,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า ที่จำนวน 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นยอดขายและรายได้เดิมของบริษัทฯก่อนเกิดไวรัสโควิด-19 ขณะที่สินค้าคงเหลือของบริษัทฯลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 ที่จำนวน 25,132 ล้านบาท เหลือ 17,223 ล้านบาท คิดเป็น 31 %

เฟรเซอร์ส”รุกหนักแนวราบทุกเซกเมนต์

บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัดบริษัทในเครือ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือFPT  ประกาศแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 เตรียมเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 24 โครงการ รวมมูลค่า 29,800 ล้านบาท แบ่งเป็น

ทาวน์เฮาส์ จำนวน 9 โครงการ มูลค่าประมาณ 9,700 ล้านบาท

บ้านแฝด จำนวน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท

บ้านเดี่ยว จำนวน 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 11,000 ล้านบาท

โครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาท

นอกจากนี้เฟรเซอร์สฯยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของ ซิตี้ โฮม”(City Home) ซึ่งเป็นบ้านในพื้นที่รอบนอกซีบีดี  อาทิ วิภาวดี,พระราม9 และสาธุประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นบ้านสูง 3 ชั้น โดยแต่ละโครงการจะใช้ที่ดินประมาณ 20 ไร่  ซึ่งที่ดินที่ซื้อมาจะต้องมีราคาไม่เกิน 100,000 บาท/ตารางวา พัฒนาขนาดตั้งแต่ 35-50 ตารางวา จำนวนประมาณ 60-70 ยูนิต ราคาประมาณ15-40 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของซิตี้ โฮม ประมาณ 3 โครงการคาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเดือนมกราคม 2564

สำหรับงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินในปี 2564 ได้เตรียมไว้ประมาณ 10,720 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินประมาณ 20 แปลง รองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก 2 ปี แบ่งเป็น

ทาวน์เฮาส์ 9 แปลง มูลค่า 4,500 ล้านบาท

นีโอโฮม 2 แปลง มูลค่า 1,000 ล้านบาท

บ้านเดี่ยว 1 แปลง มูลค่า 420 ล้านบาท

โครงการในต่างจังหวัด 5 แปลง มูลค่า 1,600 ล้านบาท

โฮมออฟฟิศ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท

คอนโดมิเนียม จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท

ศุภาลัย”ลุยโครงการในไทย-ตปท.

บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI  เบื้องต้นในปี 2564 มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่มากกว่า 30 โครงการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าได้ (คาดการณ์ว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท)เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่เปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 29 โครงการ มูลค่าประมาณ 34,380 ล้านบาท  ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด โดยจะเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก และจะกระจายไปในพื้นที่ต่างจังหวัดประมาณ 20 จังหวัด หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของแผนการพัฒนาโครงการทั้งหมด ขณะเดียวกันจะมีโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 3-5 โครงการ

โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในมือเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพื่อขยายธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้าแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทได้ตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อที่ดินใหม่ในปี 2564 ไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดเป็นหลัก และการกู้ยืมจากสถาบันการเงินบ้างบางส่วน

นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทมีแผนลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีการลงทุนในประเทศออสเตรเลีย จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการร่วมกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร (JV) เป็นมูลค่าเงินลงทุนที่ SPALI ลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท  ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความสนใจลงทุนในประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์มาเลเซียเวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนในลักษณะเข้าถือหุ้นในบริษัทที่เป็นพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศนั้น ๆ เพื่อมีอำนาจในการบริหารร่วมกัน โดยมองว่าประเทศดังกล่าวเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง

เสนา”เดินหน้าผุดคอนโดฯ-แนวราบ

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA คาดการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2564 อย่างน้อย 10 โครงการ มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

คอนโดมิเนียม สัดส่วน 70% ซึ่งจะมีระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท เป็นดาวเด่น โดยจะมีประมาณ 5 โครงการ

แนวราบ สัดส่วน 30% คลอบคลุมทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดจะขยายไปที่ จ.ชลบุรี เพียงจังหวัดเดียว

ในจำนวนโครงการคอนโดฯและแนวราบที่พัฒนานี้ จะเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด ในสัดส่วนที่เกิน 50% จากจำนวนโครงการทั้งหมดที่เปิดตัวในปี 2564 และในจำนวนโครงการที่เปิดตัวทั้งหมด จะเป็นโครงการที่เลื่อนการเปิดตัวจากปี 2563 จำนวน 3 โครงการ ซึ่งเป็นคอนโดฯทั้งหมด มูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลเดิม แต่จะมีการปรับรูปแบบการดีไซน์ และราคาลงมา เพื่อให้เข้ากับเทรนด์ในยุค New Normal  ส่วนงบซื้อที่ดินในปี 2564 คาดว่าจะใช้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท

“ไรมอน แลนด์”เล็งผุด 2 คอนโดฯย่านกลางเมือง

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ  RML ประกาศในเบื้องต้นว่าในปี 2564 วางแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ประมาณ  2 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาทได้แก่

1.ที่ดินย่านสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็นโครงการที่แผนเดิมจะเปิดตัวในปี 2563 แต่ได้เลื่อนไปเปิดตัวในปี 2564 แทน ตั้งอยู่บนพื้นที่  3 ไร่ครึ่ง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม โตเกียว ทาเทโมโนะ” จากประเทศญี่ปุ่น มูลค่าโครงการปะมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท 

2.ที่ดินย่านสุขุมวิท 28 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลโครงการได้

ส่วนจะสามารถเปิดตัวได้ตามแผนหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการติดตามสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 และดูสภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ด้วยว่าจะเป็นอย่างไร โดยที่แผนการเปิดโครงการใหม่ในปีหน้ายังสามารถมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ซี่งมีที่ดินรองรับแล้วทั้ง 2 โครงการ
ซึ่งในปี 2564 ไรมอน แลนด์ฯจะไม่โหมรุกผุดโครงการใหม่มากนัก เพราะต้องการเน้นเรื่องการรักษาสภาพคล่อง และเร่งระบายสต๊อกเดิมจำนวน 7,900 ล้านบาท และเร่งโอน Backlog  เพื่อนำกระแสเงินสดให้หมุนเวียนกลับมาที่บริษัท

“โนเบิล”ผุด 11 โครงการ มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 45,100 ลบ.

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ NOBLE ประกาศแผนปี 2564 เปิดตัวใหม่ 11 โครงการ  มูลค่ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 45,100 ล้านบาท(ลบ.)  โดยแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จำนวน โครงการ ได้แก่

1.โครงการทาวน์เฮาส์-บ้านแฝด ย่านสุขสวัสดิ์  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 16 ไร่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท มีแผนเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

2.คอนโดฯโลว์ไรส์  ติดสถานีรถไฟฟ้าคูคต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 51 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็น 5 เฟส  รวม 6,000 ยูนิต  มูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยเฟสแรกจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

3.คอนโดฯไฮไรส์ ย่านพระราม9  ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ ติดกับอาคารยูนิลีเวอร์ มูลค่าโครงการ 5,900 ล้านบาท มีแผนจะเปิดขายในไตรมาส 4/2564

4.โครงการย่านราษฎร์บูรณะ แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส คือเฟสแรก พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์-บ้านแฝด มูลค่า 1,900 ล้านบาท และเฟส2 เป็นการพัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯไฮไรส์ มูลค่า 2,700 ล้านบาท

5.โครงการย่านเอกมัย-รามอินทรา แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟสๆแรก เป็นการพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ บนพื้นที่ 23 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท มีแผนเปิดตัวในไตรมาส 4/2564  ส่วนเฟสที่ 2 เป็นการขายที่ดินเปล่าจัดสรร พร้อมระบบสาธารณูปโภค บนพื้นที่ 9 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 4/2564

และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน โครงการ คือ โครงการ “The Embassy at Wireless ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ครึ่ง ย่านวิทยุ ติดสถานทูตสสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวประมาณไตรมาส2/2564

โดยในครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯ พร้อมประเดิมเปิดทั้งสิ้น โครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ ประกอบด้วย

1.โครงการ NOBLE FORM THONGLOR มูลค่าโครงการประมาณ 5,400 ล้านบาท

2. โครงการ NUE NOBLE CENTRE BANGNA มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท 

3. โครงการ THE EMBASSY AT WIRELESS มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท

4. โครงการ NUE CONDO AT DON MUEANG มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท

ในส่วนของโครงการอื่น ๆ อีก โครงการซึ่งมีทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮมนั้น บริษัทฯ วางแผนจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 เพื่อตอบรับกับนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากยิ่งขึ้น

นี่คือส่วนหนึ่งของอสังหาฯรายใหญ่ที่ประกาศตัวกันตั้งแต่ปี 2563 และคาดว่าในครึ่งปีแรกของปี 2564 จึงจะสามารถทราบแผนการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของอสังหาฯค่ายใหญ่-กลาง-เล็กได้ทั้งหมด เพราะจากสถานการณ์โควิด-19  ทำให้หลายค่ายต้องใช้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจกันพอสมควร

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*