ริสแลนด์ฯมั่นใจต่างชาติยังสนใจช้อปอสังหาฯไทย เผยแผนลงทุนปี64 เล็งผุดโครงการราคาจับต้องได้ทำเลกทม.-หัวเมืองท่องเที่ยว แต่รอวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย คาดยอดขายปีนี้โต10% ประกาศโครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหงผ่านEIA-ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างเรียบร้อยพร้อมเดินหน้าก่อสร้างและส่งมอบในไตรมาส 1/67 ด้านยอดขายพุ่งแล้วกว่า 30% จากปี 63 สวนกระแสกวาดยอดขาย 7,400 ล้านบาท
นายเนี่ย ซงเชียน
นายเนี่ย ซงเชียน ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์สัญชาติสัญชาติฮ่องกง เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ว่า น่าจะเป็นปีที่น่าจะมีซัพพลายคอนโดฯใหม่มากขึ้น ในขณะที่ชาวต่างชาติก็ยังมีมุมมองที่เป็นบวกกับประเทศไทยเช่นเดิม เพราะยังเป็นประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว ซึ่งตลาดอสังหาฯในกลุ่มโควตาต่างชาติ ไม่ได้ชะลอตัวอย่างที่หลายฝ่ายกังวล แม้สัดส่วนดังกล่าวจะหายไปประมาณ 10% เนื่องจากบางส่วนยังไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ และหากมีการเปิดประเทศ หลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย การท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก ส่วนตลาดอสังหาฯจะค่อยๆใช้เวลาฟื้นฟู

สำหรับแผนการลงทุนของบริษัทฯในปีนี้ ทางบริษัทฯยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยต่อไป ซึ่งตามนโยบายแล้ว แต่ละปีจะเปิดตัวประมาณ 2-3 โครงการ และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์การพัฒนาโครงการใหม่ๆอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในเรื่องทำเลที่มีศักยภาพ และราคาที่เหมาะสม เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป  โดยขณะนี้มองการลงทุนทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว เชื่อว่าจะสามารถสรุปข้อมูลได้หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายในหลังไตรมาส2/2564

และด้วยแนวโน้มของความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ และผู้ซื้อเลือกมองหาโครงการที่มีราคาเหมาะสม ทางริสแลนด์ฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าสู่เรียลดีมานด์ในกลุ่มดังกล่าวแม้ว่าปัจจุบัน ทางบริษัทฯจะมีโครงการทาวน์โฮม ทำเลย่านพระราม 2 ราคาขายประมาณ 3  ล้านบาทปลายๆ

เราคงระมัดระวังในการลงทุน ทำเลต้องใช่ ต้องดูคุณภาพดีมานด์ด้วย แต่การปรับเปลี่ยนพอร์ตลูกค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มาจับกลุ่มลูกค้าคนไทยในสัดส่วนที่มากขึ้น ทำให้โครงการต่างๆ ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา จับกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นหลัก ทำให้ยอดขายปี 2563 ที่ผ่านมา จาก 7 โครงการ สามารถปิดตัวเลขได้กว่า 7,400 ล้านบาท และมั่นใจว่า ในปี 2564  การขายจะไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 10% ซึ่งมาทั้งจากโครงการที่อยู่ระหว่างการขายโครงการใหม่ และโครงการที่พร้อมโอนนายเนี่ย กล่าว    

ด้านดร.วอลเต้อร์ หลง ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง กล่าวว่า จากผังเมืองรวมฉบับใหม่ปี 2563 ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดิน เพื่อยกระดับศักยภาพการใช้ประโยชน์จากที่ดินด้วยวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ

1.การยกระดับเพื่อรองรับโครงการขนส่งมวลชน ได้แก่ การก่อสร้างรถไฟฟ้าที่อยู่ในแผนพัฒนาทั้งในบริเวณ กรุงเทพฯชั้นกลาง และชั้นนอก

2.การยกระดับเพื่อรองรับการขยายตัวของประชากรเมืองในทำเลเมืองชั้นกลาง และชั้นนอกโดยทำเลในโซนรามคำแหง และบางกะปิ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้า 3 เส้นใหม่ ทั้งสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าวสมุทรปราการ, สายสีส้ม ช่วงมีนบุรีศูนย์วัฒนธรรมฯ และสายสีน้ำตาลช่วงศูนย์ราชการนนทบุรีแยกลำสาลี

ส่งผลให้ทำเลในโซนรามคำแหง และบางกะปิ เรียกได้ว่าเป็นย่าน EBD หรือ Extension Business District ย่านเมืองธุรกิจส่วนต่อขยาย ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงในปัจจุบัน ส่งผลดีต่อโครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 8 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม แบ่งการพัฒนาออกเป็น 6 เฟส ขนาดเร่ิมต้นที่ 22-65 ตารางเมตร จำนวน 1,938 ยูนิต ราคาเร่ิมต้นที่ 1.6 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า1,300 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 30% ของมูลค่าการขายทั้งโครงการ  โดยมีการระบายออกไปได้ 565 ยูนิต และอยู่ระหว่างการขายในเฟสที่ 2 โดยราคาต่อยูนิตปรับขึ้นประมาณ 10%  ซึ่งวางเป้ายอดขายในปี 2564นี้ให้มีมูลค่าเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะปิดการขายโครงการเมื่อการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จและพร้อมโอนในไตรมาสแรกของปี 2567 โดยปัจจุบันผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)และใบอนุญาตการก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบัน ซัพพลายในโซนรามคำแหง มีอยู่ประมาณ 25,900 ยูนิต (รวมกับห้องชุดที่ทำการขายรอบใหม่) อัตราดูดซับมากกว่า 40% และมีผู้ประกอบการรายอื่นจะเปิดตัวโครงการคอนโดฯในไตรมาส 3 ในโซนดังกล่าว จำนวน 4 โครงการ จำนวน 1,824 หน่วยดร.วอลเต้อร์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*