LPN Wisdom ชี้เทรนด์การออกแบบที่ตอบทุกโจทย์การอยู่อาศัยของคนทุกวัยในปี 2564 เน้นเพิ่มพื้นที่ใช้สอยที่ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น, ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในการอยู่อาศัย, และการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่พักอาศัย

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือLPN Wisdom ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงเทรนด์การออกแบบที่อยู่อาศัยในปี 2564 ว่า หลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย  ตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2564 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่หันมาให้ความสนใจในการซื้อบ้านพักอาศัยมากขึ้น จากผลการสำรวจของบริษัทพบว่า ปี 2563 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวบ้านจัดสรรในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลจำนวน 44,001 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนถึง 63% ของจำนวนโครงการที่เปิดขายทั้งหมด 70,126 ยูนิต สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคสนใจซื้อบ้านแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม

จากแนวโน้มดังกล่าว ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ LPN Wisdom ได้ทำวิจัยถึงแนวโน้มและทิศทางการออกแบบที่อยู่อาศัยในปี 2564 พบว่า มี 3 ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในปัจจุบัน ประกอบด้วย การออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น การให้ความสำคัญกับสุขอนามัยในการอยู่อาศัย และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การอยู่อาศัยสะดวกสบายมากขึ้น

สำหรับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ใช้งานได้อย่างหลากหลายมากขึ้น (Function & Material) จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2563 พบว่า ผู้บริโภคกว่า 62% ของผู้ที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานจากที่ออฟฟิศมาทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดฯและบ้านแนราบต้องตอบโจทย์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

โดยเฉพาะคอนโดฯต้องมีการออกแบบพื้นที่เอนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายกับการใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น ทั้งพื้นที่ทำงาน ออกกำลังกาย และการทำงานอดิเรก พื้นที่รับ-ส่งพัสดุ กลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับคอนโดฯ เพรามีการสั่งซื้อของทางออนไลน์เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการออกแบบบ้านแนวราบ ที่ต้องให้ความสำคัญกับพื้นที่อเนกประสงค์ภายในบ้านเพื่อรองรับกับการทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน

รวมถึงการออกแบบพื้นที่ทั้งบ้านแนวราบและคอนโดฯที่ต้องตอบโจทย์กับคนทุกวัย เพราะตามรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในปี 2565 และใน 2573 จะมีสัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 26.9% ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นการออกแบบที่อยู่อาศัยจะต้องมีห้องนอนผู้สูงอายุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานรถเข็น การใช้ประตูบานเลื่อนแทนประตูบานเปิดภายในห้องนอนและห้องน้ำ รวมถึงการใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่ป้องกันหรือลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น เช่น พื้นยางกันกระแทก ระบบไฟเปิด-ปิดอัตโนมัติ และราวจับติดผนังในห้องน้ำ เป็นต้น

ส่วนการออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health) จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกิดขึ้น ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยทั้งบ้านแนวราบและคอนโดฯต้องคำนึงถึงระบบการไหลเวียนของอากาศภายในบ้านพักอาศัย โดยนำเอานวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยให้อากาศหมุนเวียนหรือระบบ Fresh Air Intake ที่ช่วยเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปด้านในอาคาร และไล่อากาศที่มีคุณภาพต่ำกว่าให้ออกมาด้านนอกเพื่อให้อากาศสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม

และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology) ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการออกแบบที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการดูแลที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) เช่น การนำระบบตรวจจับความผิดปกติ (AI Sensor Technology) มาติดตั้งเพื่อตรวจจับความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ประปาภายในบ้านเพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา การใช้เทคโนโลยีที่ลดการสัมผัส (Touchless) เช่น การใช้ประตูบานเลื่อนเปิด-ปิดอัตโนมัติแทนประตูที่ใช้มือจับ หรือระบบตรวจจับใบหน้าแทนการสแกนนิ้ว รวมถึงการออกแบบเพื่อรองรับระบบรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของรถยนต์ในปัจจุบันและในอนาคต

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*