เอสซี แอสเสทฯปลื้มกระแสตอบรับจากการขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม ถึง 1 เมษายน 64 ได้รับความสนใจจองซื้อเกินกว่าที่คาดหมายไว้ สะท้อนถึงความมั่นใจของผู้ลงทุนต่อบริษัท เตรียมนำเงินที่ได้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดและใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ ระบุปี 64 เดินหน้าผุด 11 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท ตามแผน
นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์
นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร  บริษัท เอสซี แอสเสทคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่าหุ้นกู้ของ SC ที่เสนอขายครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งยังคงได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก ทั้งจากผู้ลงทุนรายใหญ่และผู้ลงทุนสถาบันโดยมีผู้ลงทุนสถาบันแจ้งความจำนงในการจองซื้อหุ้นกู้กว่า 9 เท่าเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่จัดสรรให้ผู้ลงทุนสถาบัน ซึ่งเกินกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ ทำให้บริษัทตัดสินใจนำหุ้นกู้ที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมจำนวน 300 ล้านบาทมาใช้ รวมมูลค่าที่เสนอขายทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท บริษัทขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ และขอขอบคุณสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 3 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และธนาคารทหารไทย ที่มีส่วนสำคัญในการนำเสนอหุ้นกู้ของบริษัทให้กับผู้ลงทุนจนทำให้การเสนอขายประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยบริษัทวางแผนจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดและใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ อาทิ เช่น ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการตามแผนในช่วงปี 2564-2565 ที่จะรุกขยายแนวราบเป็นหลัก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจของผู้ซื้อบ้านทุกคน

ทั้งนี้จากการที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลักซึ่งกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทและบริการหลังการขายที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาด ทำให้ยอดขายและรายได้จากโครงการแนวราบเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมด้วย  สำหรับในปี 2564 บริษัทมีแผนเปิดโครงการทั้งหมด 11 โครงการมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า9,000 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการบริษัทมีที่ดินรองรับครบหมดแล้ว

นส่วนของความพร้อมของบริษัทเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในปี2564-2565 บริษัทมีสภาพคล่องสูง และได้รับการสนับสนุนแหล่งเงินทุนทั้งจากสถาบันการเงินและผู้ลงทุนเป็นอย่างดี สิ้นปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ D/E Ratio อยู่ที่1.38 เท่า ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 1.58 เท่า ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าบริษัทมีความพร้อมในทุกๆ ด้านเพื่อรองรับการขยายตัว ขณะที่ความแข็งแกร่งของบริษัท ยังสะท้อนได้จากอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ BBB+ แนวโน้มคงที่ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยทริสเรทติ้งให้เหตุผลว่าบริษัทมีแบรนด์สินค้าเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและมีสถานะทางการตลาดเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลางถึงสูง และเป็นผู้นำในตลาดบ้านจัดสรรที่ระดับราคาเกินกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*