สมาร์ทคอนกรีตฯ เผยทิศทางธุรกิจไตรมาส 1/64 โตต่อเนื่อง รับอานิสงส์นโยบายการลงทุนโครงการภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนความต้องการอิฐมวลเบา-บล็อกมวลเบาตกแต่งในประเทศเพิ่ม ชูกลยุทธ์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายทุกรูปแบบ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานปั๊มยอดขาย เจาะกลุ่มลูกค้าสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย ด้านตลาดต่างประเทศเดินหน้าเพิ่มพันธมิตร ขยายฐานลูกค้ากลุ่ม CLMV         
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART  ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมามีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ ที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงพยาบาล สำนักงาน หอพักบุคลากรทางการแพทย์ อาคารที่พักสำหรับผู้สูงอายุ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ  รถไฟฟ้า และรถไฟรางคู่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อีกทั้งโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า ส่งผลให้ความต้องการใช้วัสดุอิฐมวลเบาที่ได้มาตรฐาน และประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้นขณะที่ภาคเอกชน โครงการอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการบ้านหลังแรก รวมถึงการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าบริเวณพื้นที่รอบนอกส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตของที่พักอาศัย ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงมีความต้องการที่พักอาศัยแนวราบเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการทยอยลงทุนในโครงการใหม่

นอกจากนี้บริษัทเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุกเพื่อสร้างการเติบโต  โดยเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ผลักดันสินค้าผ่านร้านค้า อาทิ  โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง  และขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมา เพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง  สามารถกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยปัจจุบันมีวางจำหน่ายในโกลบอลเฮ้าส์ 67 สาขา , ไทวัสดุจำนวน 49 สาขา และดูโฮม 3 สาขาทั่วประเทศ

อีกทั้งมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง” พัฒนาคุณภาพประหยัดพลังงานและลวดลายใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Online to Offline (O2O) กระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย

สำหรับการขยายตลาดในกลุ่มประเทศกัมพูชา,ลาว,เมียนมาและเวียดนาม (CLMV)  ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจภายในของแต่ละประเทศ ทำให้ยอดคำสั่งซื้อสินค้าชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อาทิ ลาว กัมพูชา อย่างต่อเนื่อง

ด้านผลประกอบการปี 2563 มีรายได้รวม 419.17 ล้านบาท ลดลง  47.65 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 466.82  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 45.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาท คิดเป็น 3.56 %

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายปันผลประจำปี 2564 แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท  คิดเป็น 126.88% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมาย จากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ บริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เมื่อวันที่  5 มิ.ย. 63 หุ้นละ 0.05 บาท  โดยครั้งนี้จะจ่ายเพิ่มเติม  0.07 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหุ้น 0.035 บาท/หุ้น ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จาก 1 บาท/หุ้น เป็น 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินปันผลเพิ่มเติม 32 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2564  และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  ซึ่งเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในวันที่ 22 เมษายน 2564

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*