อสังหาฯปลื้มผลประกอบการ 6 เดือนแรกสวนกระแสโควิด-19  “แสนสิริ” ทำกำไรสุทธิ 1,046 ล้านบาท โต 227% รายได้รวม อยู่ที่ 14,868 ล้านบาท กำสภาพคล่องในมือรวม 17,000 ล้านบาท พร้อม Presale Backlog  มูลค่าอีกกว่า 24,400 ล้านบาท “เอสซี”รายได้รวม 8,726 ล้านบาท เติบโต 11%  พร้อมซื้อที่ดินปีนี้ 10,000 ล้านบาท   รองรับการพัฒนาแนวราบปี  65-67  “ไรมอน แลนด์”รายได้รวมแตะ 2,008.7 ล้านบาท กำไรโต 138.5% เล็งเปิดโปรเจกต์ใหม่ 3 โครงการระดับอัลตร้าลกชัวรี่ ขณะที่“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” มียอดรับรู้รายได้ 3,194.5 ล้านบาท มั่นใจสถานะการเงินยังแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.64 เท่า  ด้าน “สิงห์ เอสเตท”รายได้ธุรกิจที่พักอาศัยลดลง 17% แต่ธุรกิจอาคารสำนักงานและโรงแรมในสหราชอาณาจักร ดันรายได้ครึ่งปีแรกแตะ 3,018 ล้านบาท ด้าน “วิลล่า คุณาลัย” ฟอร์มดีต่อเนื่อง  กวาดรายได้รวม 446.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.41% YoY กำไรสุทธิ 68.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 150% YoY 
นางสาววรางคณา อัครสถาพ
“แสนสิริ”กำสภาพคล่องในมือรวม 17,000 ล้านบาท
นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  หรือ SIRI  เปิดเผยว่าผลประกอบการรอบ 6 เดือนของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,046 ล้านบาท เติบโตขึ้น 227% จากรอบ 6 เดือนของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิฯ 320 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ เฉพาะไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 662 ล้านบาท โตขึ้น 156% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิฯ 258 ล้านบาทและโตขึ้น 72% จากไตรมาสแรกที่มีกำไร 384 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 8.2% โตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและโตขึ้นจากไตรมาสแรก ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 5.6% ความสามารถในการทำกำไรฯ เพิ่มขึ้น จากประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Speed to Market และแผนความพร้อมในการปรับตัวรองรับทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ขณะที่รายได้รวมในรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 14,868 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรก 6,827 ล้านบาท และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 8,042 ล้านบาท โตขึ้น 18%

นอกจากนี้ แสนสิริยังมีผลงานยอดขายที่โดดเด่น โดยในช่วง 7 เดือน สร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 20,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 70% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบถึง 13,700 ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมอีก 6,900 ล้านบาท สัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบพุ่งเป็น 67%รวมทั้งมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จสมบูรณ์และส่งมอบให้กับลูกค้าไปแล้วถึง 18,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 60% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 :  45

โดยในครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทฯยังเตรียมโอนคอนโดมิเนียม “เอดจ์ เซ็นทรัล-พัทยา”คอนโดฯไลฟ์สไตล์สุดพีคใจกลางพัทยา และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิต รองรับการรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามเป้าหมายรายได้จากการขายที่วางไว้ 27,600 ล้านบาท

ล่าสุด แสนสิริมี Secured Revenue หรือรายได้ในมือที่รองรับแล้วถึง 22,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82% เหลืออีกเพียง 18% เท่านั้น ก็จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้ารายได้ที่วางไว้อย่างแน่นอน กุญแจสำคัญซึ่งจะผลักดันสู่ผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลังคือการบริหารเงินสดในมือที่ดี (Cash is King) ที่จะส่งผลให้แสนสิริเป็นองค์กรที่มีสภาพคล่องสูง และมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ โดยล่าสุดแสนสิริมีสภาพคล่องในมือรวม 17,000 ล้านบาท ที่มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจและมีความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์ พร้อม Presale Backlog  มูลค่าอีกกว่า 24,400 ล้านบาท ที่จะพร้อมรับรู้รายได้อย่างมั่นคงระยะยาวในถึงอีก 3 ปี

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์

“เอสซี แอสเสท” ทำนิวไฮทั้งยอดขายรายได้แนวราบ 

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าว่า จากความสำเร็จของช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ซึ่งได้ทำนิวไฮทั้งยอดขายรวมและยอดขายแนวราบจากบ้านเดี่ยวทุกราคาขายดี  จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตดีเยี่ยมทั้งรายได้และกำไรสุทธิ  โดยสรุปดังนี้  คือ ครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้รวม 8,726 ล้านบาท เติบโต 11%  โดยที่รายได้จากการดำเนินงานทำนิวไฮ  8,715 ล้านบาท แบ่งเป็น 95% จากรายได้จากการขาย  และ 5% จากรายได้ค่าเช่า โดยในส่วนรายได้จากการขาย มาจากรายได้แนวราบทำนิวไฮ 6,825 ล้านบาท เติบโต 23%กำไรสุทธิ 937 ล้านบาท เติบโต 24% ขณะที่ยอดขายรวมทำนิวไฮ 11,338 ล้านบาท เติบโต 38%  แบ่งเป็นยอดขายแนวราบ 83% และยอดขายแนวสูง 17%

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564   บริษัทมีสินทรัพย์รวม 46,827 ล้านบาท และหนี้สินรวม 27,952 ล้านบาท  และมีอัตราส่วนหนี้สิน/ทุน (D/E) เท่ากับ 1.48 นอกจากนี้ภายใต้งบซื้อที่ดินใหม่รวมทั้งปี  10,000 ล้านบาท  บริษัทจะจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก สำหรับรองรับการเติบโตในปี 2565-2567

บริษัทมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานปีนี้จะทำได้สำเร็จตามเป้าหมายจาก 61 โครงการเพื่อขายทั้งหมดในครึ่งปีหลัง ซึ่งมีมูลค่าโครงการวมกว่า 43,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ขายต่อเนื่อง จำนวน 53 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 45 โครงการ มูลค่า 19,900 ล้านบาท  และ คอนโด 8 โครงการ มูลค่า 11,700 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่ 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 11,400 ล้านบาท

สำหรับการเปิดโครงการใหม่  จะแบ่งเป็นแนวราบ 7 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เป็นพอร์ตหลักราคา 3.89-20 ล้านบาท ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ข้อสรุปของผลวิจัยเรื่อง  “Post-Covid Home”   โดยตอบโจทย์บ้านสำหรบคนรุ่นใหม่ และตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ หลังโควิด  โดยที่ไฮไลท์เป็นบ้าน “ Lanai Series ” (ลา-ไน)   นำร่องที่โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ  มูลค่าโครงการ   1,300 ล้านบาท เพียง 103 ยูนิต ราคาเริ่ม 10-20 ล้านบาท  ส่วนแนวสูงเป็น Luxury Condominium โครงการใหม่ The Crest Park Residences  มูลค่า 3,100 ล้านบาท เริ่ม  6.5 ล้านบาท

นายกรณ์ ณรงค์เดช

“ไรมอน แลนด์” เล็งเปิด 3 โครงการระดับอัลตร้าลกชัวรี่

นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 64 บริษัทมีรายได้รวม 2,008.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,049.4 ล้านบาท จำนวน 959.3 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 91.4% ดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นกว่าเดิมจาก 9.3% ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 24.9% และมีกำไรสุทธิ 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 269.9 ล้านบาท จำนวน 373.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 138.5%

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 409.5  ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 625.8 ล้านบาท จำนวน 216.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 34.6% อย่างไรก็ดีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจาก 7.8% เป็น 25.8% ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิลดลงจาก 130.4 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นขาดทุนเพียง 34.3  ล้านบาทในไตรมาสนี้

ด้านยอดขาย (Presales) ของบริษัทครึ่งปีแรก 2564 อยู่ที่ 1,469.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,881.2 ล้านบาท จำนวน 412.1 ล้านบาท หรือลดลง 21.9% อีกทั้ง บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 5,655.1 ล้านบาท โดยเป็นยอดรอรับรู้รายได้จากโครงการ The Lofts Silom (เดอะ ลอฟท์ สีลม) และ โครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนอื่นๆ อาทิ The River (เดอะ ริเวอร์)  The Lofts Asoke (เดอะ ลอฟท์ อโศก) The Diplomat 39 (เดอะ ดิโพลแมท 39) และ อื่นๆ

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากการจัดโปรโมชั่นเร่งการขายและโอนรับรู้รายได้จากโครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม และ เดอะ ริเวอร์ ประกอบกับบริษัทได้ปิดโครงการเก่าที่มีส่วนลดพิเศษทั้งหมดแล้วในปีที่ผ่านมาทำให้อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้นในงวดนี้ ขณะที่รายได้ไตรมาส 2/2564 เติบโตลดลง เนื่องจากจำนวนยูนิตในโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน อาทิ โครงการ เดอะ ริเวอร์  เดอะ ลอฟท์ อโศก และโครงการอื่นๆ ทยอยจำนวนลดน้อยลงเนื่องจากปิดการขายได้ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ

ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทดำเนินการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมระดับ   อัลตร้าลักชัวรี่และเปิดขายจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ The Estelle Phrom Phong  (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ความคืบหน้าการก่อสร้าง 45%  และ โครงการ TAIT Sathorn 12 (เทตต์ สาทร ทเวลฟ์) ความคืบหน้าการก่อสร้าง 21% อีกทั้ง ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการอาคารสำนักงาน One City Centre (วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์) หรือ OCC ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท กับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย มีความคืบหน้าก่อสร้างกว่า 47%

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงระดับอัลตร้าลักชัวรี่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบนพื้นที่ทำเลสุขุมวิท 38, โครงการสุขุมวิทตอนกลาง และ โครงการ Ocean Front Beach จ.ภูเก็ต อย่างไรก็ดีบริษัทมีการติดตามสภาพตลาดและมาตรการภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์

 นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

“สิงห์ เอสเตท”มั่นใจแหล่งรายได้ใหม่ดันธุรกิจโตต่อเนื่อง

 นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าว่ว่า ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ธุรกิจที่พักอาศัยเผชิญกับความท้าทายสำคัญจากรายได้ของบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด(มหาชน) หรือ NVD ที่หายไปตั้งแต่ต้นปี 2564 ซึ่งที่ผ่านมารายได้จาก NVD คิดเป็นประมาณกึ่งหนึ่งของรายได้รวมของธุรกิจนี้ อย่างไรก็ดี สัญญาณฟื้นตัวที่น่าพอใจของโครงการคอนโดมิเนียมสะท้อนผ่านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ที่สูงสุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ผ่านมา กอปรกับการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจาก โครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจที่พักอาศัยลดลงเพียงร้อยละ 17

ในส่วนของธุรกิจอาคารสำนักงาน สิงห์ เอสเตท สามารถต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมได้อย่างต่อเนื่องและปล่อยเช่าพื้นที่เพิ่มเติมได้กว่า 2,100 ตารางเมตร ส่งผลให้อัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยโดยรวมแตะระดับร้อยละ 88 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงปี 2564 ยังคงกดดันผลประกอบการธุรกิจโรงแรมในภาพรวม โดยโรงแรม 6 แห่งจาก 38 แห่งกลับมาปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้ง และอาจเป็นไปได้ที่บางแห่งจะปิดต่อไปถึงสิ้นปีนี้หากสถานการณ์โดยรวมยังไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งแรกของปี ธุรกิจโรงแรมกลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 17 สาเหตุสำคัญจากการเข้าเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวใน FS JV ซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักร ภายใต้แฟรนไชส์แบรนด์ Mercure ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การเปิดให้เดินทางภายในประเทศได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม กอปรกับ ฐานลูกค้าหลักของ FS JV เป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ หนุนให้ผลประกอบการของโรงแรมในสหราชอาณาจักรฟื้นตัวต่อเนื่องตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ โดยอัตราการเข้าพักในเดือนมิถุนายน อยู่ที่ร้อยละ 50 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 16 เดือน และรายได้ของธุรกิจโรงแรมกว่าร้อยละ 41 มาจากพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร

“การที่โรงแรมในสหราชอาณาจักรขึ้นแท่นแหล่งรายได้หลัก ผลักดันให้รายได้กลุ่มโรงแรมพลิกกลับมาเติบโตครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 ตอกย้ำว่าการลงทุนเพิ่มเติมใน FS JV เป็นการลงทุนที่เหมาะสมทั้งในด้านทรัพย์สิน และเงื่อนเวลา นอกจากนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าผลประกอบการโรงแรมโรงแรมในสหราชอาณาจักรทั้งในส่วนของอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และรายได้ห้องพักเฉลี่ยของห้องพัก (Average Daily Rate, ADR) จะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นยิ่งขึ้นในครึ่งหลังของปี 2564 จากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับภาครัฐบาลได้ประกาศยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางทั้งหมดในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564” นางฐิติมากล่าว

การควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขายที่ลดลงร้อยละ 40 กอปรกับการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า 177 ล้านบาท จากการส่งมอบห้องชุดโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36  สามารถชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท รายงานผลขาดทุนสุทธิเพียง 26 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 92

สำหรับครึ่งปีหลัง พัฒนาการที่สำคัญของบริษัทคงจะหนีไม่พ้นการเติมพอร์ตที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้การบริหารของ สิงห์ เอสเตท เข้ามาเพื่อต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ ต่ำเพียง 1.14 เท่า มีส่วนสำคัญในการเอื้อให้บริษัทลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและส่งเสริมให้สิงห์ เอสเตท เติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในระยะยาว

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล

 “ลลิล”มั่นใจสถานะการเงินยังแกร่ง

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 3,194.5 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น  โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ในขณะที่การควบคุมต้นทุนทางด้านการขาย และต้นทุนในการบริหารทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 10.1% มาอยู่ที่ 9.3%  ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 674 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.73 บาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 518.5 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 30%

สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมาของปี มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ซึ่งแม้บริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง  บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาสองนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.64 เท่า  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอย่างมาก และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลข Net D/E ณ สิ้นไตรมาสสอง อยู่ที่ระดับเพียง 0.28 เท่า สะท้อนความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ และศักยภาพในการขยายธุรกิจของบริษัท   ทั้งนี้บริษัทเพิ่งประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 400 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.90%  โดยในปีนี้มีการออกหุ้นไปแล้ว 2 ครั้ง มูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท  เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท

นางประวีรัตน์ เทวอักษร

“วิลล่า คุณาลัย”โตสวนกระแสโควิด-19

นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  กล่าวว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 มีรายได้รวม เท่ากับ 255.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.11% YoY และกำไรสุทธิ เท่ากับ 41.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.31% YoY เนื่องจากโครงการของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการคุณาลัย พรีม ซึ่งเป็นโครงการขายดีที่สุดของบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากอีก 4 โครงการประกอบด้วย โครงการคุณาลัย จอย , คุณาลัย บีกินส์ 1, คุณาลัย บีกินส์ 2 และคุณาลัย จอย ออน 314

ในขณะที่งวด 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 446.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.41% YoY และกำไรสุทธิ เท่ากับ 68.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 150% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการจากโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่ในโซนบางบัวทองและฉะเชิงเทรา โดยเฉพาะโครงการคุณาลัยพรีมที่เป็นสินค้าขายดีของบริษัทฯ สามารถทำ market share ได้สูงมากในโซนบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จากความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลให้ครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯมียอดขาย (Pre-sales) อยู่ที่ 730 ล้านบาท ขณะที่ยอดBacklog ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 380 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในครึ่งหลังทั้งหมด

“ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ด้านการจัดหาเงินทุนและบริหารสภาพคล่อง เพื่อให้เพียงพอกับพัฒนาโครงการของKUN รวมถึงการปรับกลยุทธ์การขาย ที่หันมาเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ให้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และที่สำคัญบริษัทฯยังพยายามที่จะสร้างบ้านให้เสร็จทันเวลา เพื่อให้ส่งมอบบ้านให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังบริหารงานร่วมกันกับผู้รับเหมาแต่ละราย ให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต ในส่วนของมาตรการการป้องกันโควิด-19 เราตั้งเป้าหมายร่วมกันกับทุก Stakeholders ให้เป็น “คุณาลัย=หมู่บ้านมีภูมิ” ที่มุ่งเน้นให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกครบ 100% ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้มากกว่า 70%”นางประวีรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34.32 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 26 สิงหาคม 2564 และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2564 นี้

ส่วนทิศทางในครึ่งปีหลังนั้น  บริษัทฯมีแผนในการพัฒนาโครงการซึ่งเป็นทิศที่3 ภายใต้โครงการ “คุณาลัย นาวาร่า” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการในแผนธุรกิจของบริษัทฯ ที่วางนโยบายการกระจายการลงทุนให้ครบ 4 ทิศในรอบกรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในทิศใต้ โซนพระราม 2 โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 2,350 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในช่วงปลายปี 2564 โดยจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดขายในเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้สำหรับโครงการดังกล่าวจะต้องผ่านการอนุมัติผู้ถือหุ้น การจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 นี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*