“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ผนึก “เจดับเบิ้ลยูดี” ผสานจุดแกร่งด้านการพัฒนาโครงการ-ความเชี่ยวชาญโลจิสติกส์ โซลูชั่น เปิดตัว “ALPHA” บุกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ตั้งเป้า 5 ปี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ- ขึ้นแท่น Top 3 ด้วยพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ากว่า 1 ล้านตารางเมตร  ผ่านการพัฒนาเองและการควบรวมกิจการ พร้อมมูลค่า REIT กว่า 12,000 ล้านบาท เดินเครื่องรุกแหล่งนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ควบคู่การขยายกิจการในเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ชูจุดแข็งบริการเฉพาะทาง หวังเจาะลูกค้ากลุ่มอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ออโตเมชั่น นำร่องลุยโครงการแรกแอลฟา บางนา กม.22”
นายพีระพงศ์ จรูญเอก
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า จากศักยภาพและแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Property) บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ก่อตั้งบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด ในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท (จะเพิ่มเป็น 990 ล้านบาท ในปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565) เพื่อผสานจุดแกร่งของทั้ง 2 บริษัทในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้แบรนด์ แอลฟา (ALPHA)

“เราเชี่ยวชาญด้านการหาที่ดิน การจัดการต้นทุนในการพัฒนาโครงการ มีพันธมิตรด้านอสังหาฯชั้นนำจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในรูปแบบทางธุรกิจที่มีการส่งมอบสินค้าจากผู้ประกอบการถึงมือผู้บริโภคโดยตรง(Business to Custome : B2C) ขณะเดียวกัน เจดับเบิ้ลยูดี ก็เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารคลังสินค้า บริการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ มีเครือข่ายที่แข็งแรงอยู่ทั่วอาเซียน ตลอดจนมีฐานลูกค้าที่กว้างขวางโดยเฉพาะในฝั่ง B2B ความร่วมมือระหว่างเราและเจดับเบิ้ลยูดีในครั้งนี้ จึงถือเป็นการสร้าง Synergy ผสานความแข็งแกร่งของทั้งคู่เข้าด้วยกันในการตอบโจทย์ตลาดอย่างครบวงจรทั้งในฝั่ง B2B และ B2C เราเชื่อมั่นว่า ความแข็งแกร่งของทั้งคู่จะนำพา แอลฟา ให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ได้ภายในปี 2568 และก้าวขึ้นเป็น Top 3 ของธุรกิจนี้ได้ภายใน 5 ปี” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD กล่าวว่า แอลฟา จะมุ่งดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

1.อสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Property) อาทิ คลังสินค้า ศูนย์โลจิสติกส์ สวนอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ระบบการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Order Fulfillment)

2.อสังหาริมทรัพย์เพื่อชุมชนเมือง (Urbanized Property) อาทิ บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน (Self-Storage) ในคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร บริการคลังสินค้าออนไลน์ย่อย (Micro-fulfillment Center)

3.การบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ (Property Services) อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการบำบัดน้ำเสีย กลุ่มก่อสร้าง

“ความต้องการด้านโลจิสติกส์โซลูชั่นในประเทศไทยยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น เราและออริจิ้นจึงจะบูรณาการ Total Solutions ที่แตกต่างจากตลาด เราไม่ได้แค่หาที่ดินมาพัฒนาคลังสินค้า แต่เราจะมีทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ ระบบออโตเมชั่น หุ่นยนต์ และบริการที่ซับซ้อนอื่นๆ พร้อมนำเสนอแก่ลูกค้าฝั่ง B2B ในหลากหลายประเภทธุรกิจ ขณะเดียวกัน เราก็สร้างประสบการณ์ หรือ Customer Experience ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัย ให้สามารถทำธุรกิจ e-Commerce จากที่พักอาศัยได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของเราจะตอบโจทย์ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจร” นายชวนินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2568 แอลฟา จะมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารมากกว่า 1 ล้านตารางเมตร(ตร.ม.) พร้อมทั้งมีมูลค่า REIT Value ในระดับ 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะพิจารณานำสินทรัพย์ในกลุ่มต่างๆ เข้าจดทะเบียนเสนอขายแก่นักลงทุนในรูปแบบทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วยภายในปี 2566  โดยจะทยอยเสนอขายเฉลี่ยปีละ 200,000 ตารางเมตร เพื่อที่จะนำเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์ไปต่อยอดการลงทุนทั้งการลงทุนเองและการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

“งบลงทุนของ ALPHA ในช่วง 5 ปี ตั้งงบลงทุนไว้ที่  2,300 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายคลังสินค้าให้เช่าแตะระดับ 1 ล้านตารางเมตร และคาดว่าภายในปี 2566 จะทยอยนำสินทรัพย์บางส่วนเสนอขายเข้ากองรีท เพื่อที่จะได้นำเงินมาใช้ในการต่อยอดการขยายธุรกิจในการลงทุนขยายพื้นที่เช่าคลังสินค้ารองรับการขยายตัวของธุรกิจในช่วง 3-5 ปี ซึ่งจะมีทั้งการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ” นายชวนินทร์ กล่าว

นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและธุรกิจอาหารในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ประกอบกับนโยบายการสนับสนุนต่างๆ ของภาครัฐ อาทิ นโยบายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ,นโยบายการส่งเสริมการผลิตรถ EV ตลอดจนความต้องการที่สูงขึ้นของกลุ่ม Urbanized Property ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงจะใช้จุดแตกต่างทั้งด้านความยืดหยุ่นและความสามารถนำเสนอ Logistics Solution ที่ซับซ้อน ทันสมัย และครบวงจรให้แก่ลูกค้า มาเจาะตลาดลูกค้าเป้าหมายหลัก 6 กลุ่ม ได้แก่

1.กลุ่มอีคอมเมิร์ซ

2.กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Storage) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

3.กลุ่มเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย

4.กลุ่มธุรกิจยานยนต์และ EV

5.กลุ่ม Urbanized property 6.กลุ่ม Data Center

สำหรับการเติบโตของแอลฟา ในช่วง 5 ปีนี้ จะเป็นการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) ในสัดส่วน 60% ผ่านการพัฒนาพื้นที่บริหารประมาณ 120,000 ตารางเมตรต่อปี และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ในสัดส่วน 40% ผ่านการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารอีกราว 80,000 ตารางเมตรต่อปี โดยมองทำเลการเติบโตในหลากหลายกลุ่ม ได้แก่

1.กลุ่มคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรม อาทิ บางนา แหลมฉบัง ระยอง และวังน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทจะมุ่งไปก่อนเป็นกลุ่มแรกในปีนี้

2.กลุ่มคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ

3.กลุ่มศูนย์กลางธุรกิจ (CBDs) ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ

4.กลุ่มตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย และกัมพูชา โดยคาดว่าการลงทุนในต่างประเทศจะเห็นความชัดจนในช่วง 2-3 ปี โดยที่จะเน้นในอินโดนีเซียและเวียดนามเป็นหลัก

“เราจะเริ่มบุกด้วยทำเลที่มีความต้องการสูงและออริจิ้นเชี่ยวชาญอยู่แล้วอย่างโซนบางนา-EEC ขณะเดียวกัน การจะขยายไปยังตลาดต่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเจดับเบิ้ลยูดี มีการลงทุนและพันธมิตรทั้งในเวียดนามและอินโดนีเซียอยู่แล้ว เราจึงน่าจะสร้างทั้ง Organic Growth และ Inorganic Growth จนมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวม 1 ล้านตารางเมตร ได้ตามเป้า” นายปธาน กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มพัฒนาโครงการแรกภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22” (ALPHA Bangna KM.22) ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 24 ไร่ บน บริเวณบางนา ตราด กม.22 เป็นโครงการคลังควบคุมอุณหภูมิแบบ Multi-temperature ที่มีตัวอาคารสูงพิเศษกว่า 23 เมตร และเป็นโครงการแรกของไทยที่เป็นคลังสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจ E-Commerce แบบควบคุมอุณหภูมิ (Temperature-Controlled Fulfillment Center) รองรับระบบการจัดเก็บอัตโนมัติ (ASRS) โดยมีขนาดพื้นที่กว่า 22,000 ตารางเมตร  สามารถตอบสนองการจัดการด้านโลจิสติกส์และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในส่วนของระบบห้องเย็นและระบบออโตเมชั่น ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงต่ำ ขณะเดียวกัน ก็ใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาส 2/2564 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ในช่วงไตรมาส 1/2565

ส่วนโครงการที่ 2 และ 3 บริษัทจะพัฒนาในประเทศเป็นพื้นที่เช่าคลังสินค้าแบบ Buit-to-Suit  ในช่วงปลาปี 2564 นี้ โดยเงินลงทุนรวมกว่า 500 ล้านบาท ได้ที่พื้นที่ บางนา-บางพลี พื้นที่เช่า 70,000-80,000 ตารางเมตร และโครงการพื้นที่เช่าที่วังน้อย พื้นที่เช่า 60,000 ตารางเมตร ซึ่งจะทยอยเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2564  และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 2/2565  เป็นต้นไป โดยที่ภายในสิ้นปี 2564  ธุรกิจของ ALPHA จะมีพื้นที่เช่ารวมในช่วงเริ่มต้นธุรกิจประมาณ 150,000-200,000 ตารางเมตร

อนึ่ง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 134,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร


สำหรับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)หรือ JWD ดำเนินธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร ครอบคลุม 8 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน มีพื้นที่ให้บริการวมทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 2 ล้านตารางเมตร โดยธุรกิจหลักคือกลุ่มโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทฯมีความเชี่ยวชาญกลุ่มสินค้าที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษในการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าและขนส่ง ได้แก่ สินค้าอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิ รถยนต์และส่วนประกอบ และสินค้าอื่นๆทั่วไป ธุรกิจกลุ่มอื่นๆ ของบริษัทได้แก่ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจไอทีโซลูชั่น และ ธุรกิจการลงทุน

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*