ทายาทรุ่น 2 ตระกูล “รุ่งโรจน์ธนกุล”ประกาศรีแบรนด์พลิกฟื้นเป็น “อยู่เจริญ เอสเตทส”สนองความต้องการดีมานด์รุ่นเก๋า พร้อมพัฒนาในนามกลุ่ม “พันนาลิฟวิ่ง”และในเครือ ปี 65 ประกาศแผนนำที่ดินสะสม 3 แปลงผุดโครงการ จากทั้งหมดกว่า 1,000 ไร่ทั่วกทม. และเล็งร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ดผ่านสายสัมพันธ์ด้านการศึกษาการทูต ทำเลหัวเมืองท่องเที่ยวอีก 3 ราย ด้านปี 64 อยู่ระหว่างการเปิดขายเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท แย้มแผน 5 ปี จ่อแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดปีนี้กวาดยอดขายไม่ต่ำกว่า 820 ล้านบาท เติบโตกว่า 20%
ดร.ชนฐนพค์ รุ่งโรจน์ธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พันนาลิฟวิ่ง จำกัด ผู้บริหารโครงการแบรนด์ “อยู่เจริญ เอสเตทส” (U Charoen Estate) เปิดเผยว่า กลุ่มตระกูล “รุ่งโรจน์ธนกุล”ในฐานะผู้บุกเบิกโครงการหมู่บ้านจัดสรรคุณภาพรายแรก ๆ ของเมืองไทยตั้งแต่ปี 2512 ภายใต้แบรนด์ “อยู่เจริญ” ซึ่งดำเนินการโดย “นายอุดม รุ่งโรจน์ธนกุล” ผู้เป็นบิดา เริ่มต้นจากการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าซื้อ หรือ “เซ้ง”และเป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ ระยะ 30 ปี โดยเริ่มจากที่ดินย่านดินแดง รวมไปถึงการพัฒนาทาวน์เฮาส์รายแรกในประเทศไทย ด้วยการได้รับคำแนะนำจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ว่ารูปแบบดังกล่าวในต่างประเทศจะเรียกว่า “ทาวน์เฮาส์” ดังนั้น จึงได้มีการพัฒนาโครงการแรกบนที่ดินในซอยหลังสถานทูตจีน และพัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าวข้างต้นมาหลายโครงการ จนกระทั่งบิดาตนเสียชีวิต

และในปี 2554 ตนจึงได้เข้าไปสานต่อกิจการและก่อตั้งบริษัท พันนาลิฟวิ่ง จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่แนวราบ และมีบริษัทลูกอีก 3 บริษัท คือ

-บริษัท พันนา แอนด์ เล้าท์ ดีไซน์ จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 1 ล้านบาท ให้บริการทางด้านการออกแบบและการก่อสร้างเป็นหลัก

-บริษัท พันนา ชยสา จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 40 ล้านบาท เน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูง

-บริษัท พันนา นาคนิวาส จำกัด ทุนจดทะเบียน มูลค่า 100 ล้านบาท เน้นการพัฒนาโครงการในพื้นที่ลาดพร้าว

โดยตั้งแต่ปี 2555-2559 ได้นำร่องพัฒนาแบรนด์ใหม่ 2 โครงการ คือ  “บ้านพันนา” ย่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา (หลังเซ็นทรัลอีสต์วิลล์) การอยู่อาศัยด้วยภูมิปัญญาในรูปแบบ Home Office สมัยใหม่ จับกลุ่มเป้าหมายระดับเอลบ ราคา 60 ล้านบาท  และในปี 2561-2564 ได้พัฒนาโครงการ  “ตรรกะ” Luxury Low Rise Condominuim สไตล์เรียบหรู และโครงการ “บ้านพันนา”ย่านศรีวรา และย่านเอกมัยรามอินทรา อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

“หลังจากได้พิสูจน์การดำเนินงานด้วยความสำเร็จ ประกอบกับที่ผ่านมาได้มีลูกค้ารุ่นเก่าสอบถามว่า ทำไมไม่พัฒนาแบรนด์ ‘อยู่เจริญ’  ล่าสุดจึงได้ตัดสินใจ รีแบรนด์ใหม่เป็น ‘อยู่เจริญ เอสเตทส’(U Charoen Estate) ตอกย้ำจุดแข็งจากประสบการณ์ที่สั่งสมยาวนานมากกว่า 40 ปี  สร้างบ้านดี มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และอยู่ในทำเลที่ดี ผสมผสานกับวิสัยทัศน์ (vision) และปณิธาน (mission) ตระหนักถึงการใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประยุกต์เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน”ดร.ชนฐนพค์ กล่าว

ดร.ชนฐนพค์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทตั้งเป้านำที่ดินสะสมในทำเลต่าง ๆ มาพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดฯโลว์ไรส์ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะย่านถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าหลายสาย เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีส้ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา(วัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ) ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) กำลังเร่งฟื้นโครงการ ขณะเดียวกัน เป็นย่านเชิงพาณิชย์ระดับพรีเมี่ยม แวดล้อมด้วยศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์ โครงการมิกซ์ยูสในอนาคตอีกหลายแห่ง ซึ่งสร้างแรงดึงดูดกลุ่มเป้าหมายระดับบน ทั้งในด้านการอยู่อาศัยและในด้านการลงทุนสูงมาก

ทั้งนี้จากการศึกษาตัวเลข Feasibility Study  พบว่า สัดส่วนต้นทุนการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัทจะไม่ต่างจากอดีตมากนัก แต่การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีค่อนข้างสูง ซึ่ง อยู่เจริญ เอสเตทส จะมุ่งเน้นกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ และอาศัยการพัฒนาแบบเพิ่มมูลค่าให้เหมาะสม โดยเท่าที่ทดสอบตลาดจากโครงการของกลุ่มพันนาลิฟวิ่ง บริษัทประสบความสำเร็จมากและกลุ่มลูกค้าเดิมยังนึกถึงแบรนด์  ดังนั้นแผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯจึงคงเดินหน้าพัฒนาโครงการในรูปแบบของอสังหาฯเพื่อการขายอย่างต่อเนื่อง  โดยในเบื้องต้นเล็งนำที่ดินสะสม 3 แปลง 3 ทำเล มาพัฒนา อาทิ ย่านรามอินทรา กม.2 จำนวน 200 ไร่ ,ย่านพุทธมณฑล สาย 2 จำนวน 100 ไร่ และซอยสุขุมวิท 49 ติดคลองแสนแสบ ประมาณ 8 ไร่ จากที่ดินสะสมของครอบครัวในทุกโซนของกทม.มากกว่า 1,000 ไร่

และเมื่อทุกอย่างพร้อม แบรนด์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โอกาสพร้อม จังหวะพร้อม บริษัทฯยังมีแผนจะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ขึ้น หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น โครงการ Commercial Community หรือ Health Care Center เกี่ยวกับบ้านเพื่อผู้สูงอายุ รวมถึงขยายการลงทุนในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งมีแลนด์ลอร์ดในแวดวงการศึกษา และแวดวงการทูต  ในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาประมาณ 3 ราย ทั้งภาคเหนือ อีสาน และใต้ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับที่ดินว่าเหมาะจะพัฒนาโครงการในรูปแบบไหนได้เป็นอย่างดี ก็ให้การสนับสนุนในการนำที่ดินมาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ส่วนรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ คงขึ้นอยู่กับความต้องการของแลนด์ลอร์ดแต่ละแปลงว่าสนใจจะทำที่ดินมาพัฒนาโครงการในรูปแบบใด ซึ่งหากมีการร่วมทุนจริงอาจจะนำแบรนด์ “พันนา”เข้าไปพัฒนา ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวบริษัทเตรียมไว้สำหรับการพัฒนาเองและร่วมทุนกับพันธมิตร

” แม้ว่าเราจะเป็นผู้ประกอบการรายกลาง ที่เข้ามาบุกตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่สูง แต่เราก็จะมีจุดแข็งคือ ก่อนที่จะพัฒนา จะเน้นในเรื่อง โลเคชั่น โลเคชั่น และโลเคชั่น เป็นลำดับแรก และลำดับรองลงมากคือ ฟังก์ชั่น การดีไซน์ ราคาและคุณภาพของสินค้า อีกทั้งไม่คิดที่จะแข่งขันกับใคร มองว่าทุกโครงการเป็นเสมือนเพื่อนในการแชร์ข้อมูลให้ซึ่งกันและกันมากกว่า ”  ดร.ชนฐนพค์ กล่าว

ดร.ชนฐนพค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2564 นี้ มีโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขาย และเตรียมเปิดใหม่ รวม 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เจาะตลาดระดับกลาง-บน  ได้แก่

โครงการ“อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” (U Charoen Residence Town In Town) ตั้งอยู่ย่านทาวน์อินทาวน์ ติดถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งคือโครงการ “ตรรกะ”เดิม แล้วมาเปลี่ยนเป็นชื่อดังกล่าวข้างต้น  ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียม Low Rise  สูง 7 ชั้น (24 เมตร)เรียบง่ายเป็นเอกลักษณ์ ด้วยสไตล์ Modern Japanese ขนาด 34.75-60 ตารางเมตร ราคา 3.4-5 ล้านบาท จำนวน 208 ยูนิต โดยได้เปิดพรีเซลไปเมื่อปลายปี 2561 ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 60%

โครงการ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” (Baan U Charoen Town In Town) ตั้งอยู่บนถนนศรีวรา ย่านเอกมัย-รามอินทรา พื้นที่ 2 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบโฮมออฟฟิศ สูง 4.5 ชั้น ขนาด 41-66 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยกว่า 431 ตารางเมตร ราคา 38-48 ล้านบาท จำนวน 14 ยูนิต  โดยเปิดพรีเซล เมื่อต้นปี 2564 ปัจจุบันมียอดจองประมาณ 2-3 ยูนิต ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด จึงส่งผลกระทบต่อยอดขายพอสมควร เพราะจากมาตรการของภาครัฐที่สั่งประกาศปิดแคมป์คนงาน และไซต์งานก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดไป 1.5 เดือน ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าบางรายจำเป็นต้องยุติยกเลิกสัญญา แต่บางรายบริษัทฯก็มีการริบเงินทำสัญญา ซึ่งจะมีการพิจารณาเป็นรายๆไป

โครงการ“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” (Baan U Charoen Eastville) ตั้งอยู่ในซอยนาคนิวาส 6 ด้านหลัง Central Festival Eastville เพียง 5 นาที  พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝด 8 ยูนิต และทาวน์โฮม 20 ยูนิต รวมจำนวน 28 ยูนิต สัมผัสกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสไตล์ Modern Palladian ขนาดที่ดินตั้งแต่ 38-50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 355-430 ตารางเมตร   ราคาขายเริ่มต้นที่ 40-60 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,200-1,500 ล้านบาท

” เรามองลูกค้าระดับกลางที่พร้อมปรับสถานะเป็นระดับบน ซึ่งพร้อมก้าวไปกับทุก ๆ คน และกลุ่มลูกค้าระดับบนดั้งเดิม โดยปีนี้นำร่องก่อน 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เพื่อเป็นมาสเตอร์พีซ กระตุ้นการสร้างแบรนด์  อยู่เจริญ เอสเตทส ให้แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จัก” ดร.ชนฐนพค์ กล่าว

นอกจากนี้ภายในระยะเวลา  5 ปีนับจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ด้วย  แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ด้านเป้าหมายรายได้ในปี 2564 บริษัทคาดการณ์จะเติบโตกว่า 20% และยอดขายพรีเซลไม่ต่ำกว่า 820 ล้านบาท จาก 2 โครงการแรกที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2564 นี้ ได้แก่ “บ้านอยู่เจริญ ทาวน์ อิน ทาวน์” โฮมออฟฟิศ สไตล์ Modern Japanese และคอนโดมิเนียมเรียบหรู “อยู่เจริญ เรสซิเด้นท์ ทาวน์ อิน ทาวน์” ที่

 

อนึ่ง “อยู่เจริญ” จดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เริ่มต้นพัฒนาพื้นที่ให้เช่าซื้อ หรือ “เซ้ง” และเป็นผู้บุกเบิกแนวความการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ ระยะเวลา 30 ปี เป็นรายแรกให้แก่สังคมไทยและเป็นผู้พัฒนาอาคารที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า “Town House” ที่มีที่จอดรถในตัวเป็นรายแรก และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในระหว่างปี 2520-2539 มีโครงการทั้งในเขตกทม.ปริมณฑล อีกทั้งยังมีที่ดินหลากหลายแปลง รวมไปถึงมีการมอบที่ดินสำหรับจัดตั้งสำนักงานเขตลาดพร้าว,สำนักงานที่ดินเขตห้วยขวาง และมอบที่ดินที่เป็นสถานที่ตั้งที่ทำการสถานทูตจีนประจำประเทศไทย บริเวรถนนรัชดาภิเษกจนถึงปัจจุบัน และทายาทรุ่นที่ 2 ได้เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หรูหรามากขึ้น จึงสานต่อ และคิดค้นโครงการนำร่อง “บ้านพันนา” การอยู่อาศัยด้วยภูมิปัญญาในรูปแบบ Home Office สมัยใหม่ และ “ตรรกะ” Luxury Low Rise Condominuim สไตล์เรียบหรู และได้กลับมารีแบรนด์เป็น “อยู่เจริญ เอสเตทส”ตามความเรียกร้องของลูกค้ารุ่นเก่า

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*