อสังหาฯรายใหญ่กลาง  แห่โชว์ผลประกอบการ 9 เดือนปี 64 โตแสนสิริฯโกยกำไรสุทธิฯ 1,674 ล้านบาท โตพุ่ง 54% ยอดขายล่าสุดทะลุ 28,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 92% จากเป้าหมาย รุกตามแผนเปิด 7 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท รับสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น “ออริจิ้น” กวาดรายได้รวม 11,794 ล้าน ทะลุ 84%  พร้อมกำไรสุทธิ 2,386 ล้าน หลังรัฐคลายล็อกดาวน์ยกเลิกเคอร์ฟิวกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและผ่อนคลาย LTV หนุนรายได้ทั้งปีแตะ 14,000 ล้านตามเป้า   ด้าน “เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง”  ส่งสัญญานดีโชว์ผลงาน โตทั้งรายได้-กำไร 9 เดือน กำไรสุทธิ 171.61  ล้านบาท เพิ่มขึ้น  152.66 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งดันรายได้แนวราบโตต่อ พร้อมปั๊มยอด Backlog ไตรมาส 4 เพิ่ม 600  ล้านบาท  ขณะที่ “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” มียอดรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 4,828.1 ล้านบาท ขยายตัว 20.3% กำไรสุทธิที่ 1,013.1 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากธุรกิจปกติ ขยายตัวได้ 22.6%ด้าน”สิงห์ เอสเตท” ชูรายได้รวมไตรมาส 3/64 แตะ 2,127 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อน ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมในสหราชอาณาจักร พร้อมประกาศความสำเร็จปิดการขายโครงการบ้านหรู “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” “แอสเซทไวส์”ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส3/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 156.8  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.4% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 90.5 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,134.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.2% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 674.4 ล้านบาท โค้งสุดท้ายเดินหน้าเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท “มั่นคงเคหะการ” มีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 786.26 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่ม 6.12%  ด้านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ายังโตต่อเนื่องด้วยอัตราการเช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน หรือ BFTZ สูงกว่า 90% ระบุภาพรวม 9 เดือนกวาดรายได้ 1,893.58 ล้านบาท เล็งหาโอกาสใหม่ หวังต่อยอดทางธุรกิจ
นายอุทัย อุทัยแสงสุข
SIRI  โกยกำไร 9 เดือน 1,674 ล้านบาท โต 54 %
นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ)  1,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54 % จากรอบเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิฯ 1,085 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.6% ของรายได้รวม โตขึ้นจากรอบเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 4.1% ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายโครงการที่อยู่อาศัย โดยไตรมาสที่ 3/2564 แสนสิริและบริษัทย่อยบันทึกกำไรสุทธิฯ เท่ากับ 628 ล้านบาท

นอกจากนี้ล่าสุด แสนสิริยังมียอดขายถึง 28,400 ล้านบาท คิดเป็น 92% จากเป้าหมายยอดขาย 31,000 ล้านบาท และยอดโอนโครงการรวมทั้งแนวราบและแนวสูงถึง 25,100 ล้านบาทหรือคิดเป็น 81% จากเป้าหมายยอดโอน 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม ในสัดส่วน 55 : 45 โดยไตรมาสสุดท้าย

บริษัทยังมียอดโอนต่อเนื่องจากคอนโดมิเนียมเอดจ์ เซ็นทรัล – พัทยา และ ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ – รังสิต รวมถึงการเตรียมโอนคอนโดมิเนียม เดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค โครงการร่วมทุนระหว่างแสนสิริ และ บีทีเอส กรุ๊ป อาคาร B จำนวน 880 ยูนิต ในวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2564 นี้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลงานที่ดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสุดท้าย รองรับการรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่ รายได้รวมในรอบ 9 เดือน 2564 แสนสิริมีรายได้ 22,097 ล้านบาท เป็นรายได้เฉพาะไตรมาส 3 อยู่ที่ 7,229 ล้านบาท มาจากรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว โดยมีรายได้แล้ว 1,858 ล้านบาท โตขึ้นกว่า 200% จากรอบ 9 เดือนของปีก่อน  นอกจากนี้แสนสิริยังมีรายได้หลักจากโครงการทาวน์โฮม  ขณะที่รายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมมาจาก 3 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการเอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา, โอกะ เฮาส์

และเอ็กซ์ที ห้วยขวาง ที่สร้างผลงานในไตรมาส 3 ได้ดี ประสบความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทั้งนี้ ล่าสุดแสนสิริยังมี Secured Revenue หรือรายได้ในมือที่รองรับแล้วถึง 93% จากเป้าหมายรายได้จากการขายที่วางไว้ 27,600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้ารายได้ที่วางไว้

บริษัทฯมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 4,600 ล้านบาท รับสัญญาณเศรษฐกิจฟื้น แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท และแนวราบ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท รองรับความต้องการทุกเซกเมนต์และตอกย้ำความมุ่งมั่นของแสนสิริในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการมีบ้านของคนทุกกลุ่ม

ORI ยอดโอนกรรมสิทธิ์แกร่ง โต 66% 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-กันยายน 2564) อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,794 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) ส่งผลให้รายได้รวมขณะนี้คิดเป็น 84% ของเป้ารายได้ทั้งปี 2564 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,386 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 (%YoY) โดยผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,123 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 709 ล้านบาท

ทั้งนี้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า(Non-JV)ในช่วงไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ 3,666 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 66% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้สร้างรากฐานยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ไว้อย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าตามแผนการเติบโตของบริษัท ทำให้ในช่วงไตรมาส 3/2564 มีโครงการที่ทยอยรับรู้รายได้เพิ่มเติมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้จัดแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด กระตุ้นการตัดสินใจซื้อโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) และการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดแคมเปญ 9.9 Origin Condo Fest มหกรรม Live ขายคอนโดมิเนียมที่เชิญศิลปินชื่อดังและผู้มีชื่อเสียงในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มาร่วมสร้างสีสัน มอบองค์ความรู้ด้านอสังหาฯให้แก่ผู้บริโภคควบคู่กับการขายคอนโดมิเนียมออนไลน์

“ไตรมาส 3/2564 เป็นไตรมาสที่ไม่ง่ายสำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงต้นไตรมาส ซึ่งส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างและการโอนกรรมสิทธิ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำสถิติรายวันพุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกแรกและมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่ชะลอการเดินทางเยี่ยมชมโครงการของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ออริจิ้นเองพยายามวางรากฐานด้านต่างๆ ของบริษัทให้แข็งแรง นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดระลอกแรก ทำให้สามารถปรับตัวได้เร็วและยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานไว้ได้ภายใต้ความท้าทาย” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 4/2564 ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับจากหลายปัจจัย อาทิ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลง การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงเข้ม ส่งผลให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น สามารถกลับมาประกอบธุรกิจและมีรายได้ ภาพรวมกำลังซื้อจึงค่อยๆ ดีขึ้น การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว ปรับเพดานอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) กลับสู่ระดับ 100% จนถึงสิ้นปี 2565 ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและมีขีดความสามารถในการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น

อีกทั้ง บริษัทได้เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ประกอบกับแนวทางในการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4/2564 โดยช่วงดังกล่าวจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติม 4 โครงการ ได้แก่ 1.พาร์ค ออริจิ้น พญาไท (PARK ORIGIN Phayathai) 2.นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง (Notting Hill Rayong) 3.แกรนด์ บริทาเนีย สุวรรณภูมิ (Grand Britania Suvarnabhumi) 4.บริทาเนีย ติวานนท์ ราชพฤกษ์ (Britania Tiwanon-Ratchapruek) จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมรายได้ปี 2564 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท

นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม

NCH เร่งปั๊มยอด Backlog ไตรมาส4 เพิ่ม 600  ล้านบาท

นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือน ปี 2564 มีรายได้จากการขาย  1, 886 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง 9 เดือนของ ปี 2563 ซึ่งมีรายได้จากการขาย  1,179.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 706.66 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.89%  บริษัทมีรายได้รวม 1,911.94  ล้านบาท เพิ่มขึ้น715.94 ล้านบาท คิดเป็น 59.86% ทำให้ผลประกอบการ 9 เดือน มีกำไรสุทธิ  171.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส3/2564   มีกำไรสุทธิ 39.23  ล้านบาท ด้วยบริษัทฯ มีปัจจัยบวกมีความสามารถด้านการโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบบ้านให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งมีรายได้รวมไตรมาส3/2564 ที่เพิ่มขึ้น  492.22 ล้านบาท และมีรายได้การขายที่เพิ่มขึ้น 484.84 ล้านบาท  ด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านมีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทโครงการบ้านแนวราบในระดับราคา 3-5 ล้านบาทอยู่ในระดับสูง  บริษัทพร้อมเดินตามแผน พัฒนาโครงการใหม่ตลาดระดับราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพหลัก อาทิโซนเหนือ  และโซนตะวันออก ในไตรมาส 4  เอ็น.ซี มีการปรับตัวได้ดี มีการเติบโตด้านรายได้  มีการควบคุมเข้มเรื่องการบริหารต้นทุนในองค์กร มีระบบบริการดูแลลูกค้า ก่อนและหลังการขาย สร้างความพึงพอใจแบรนด์ เอ็น.ซี ซึ่งมีการบอกต่อแนะนำการซื้อบ้านผ่านลูกค้า คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงถึง  35 %

นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ทำการตลาดเชิงรุกผลักดันยอดขายจากโครงการใหม่ ซึ่งมีการตอบรับเป็นอย่างดี โครงการ Nc On Green Charm Classic   บ้านหรูในสนามกอล์ฟ โครงการนี้จะพัฒนาเป็นสินค้าบ้านเดี่ยวทั้งหมด จำนวน 141 ยูนิต  บนพื้นที่โครงการ 37 ไร่  มูลค่าโครงการ  981 ล้านบาท  ราคาเริ่มต้น  6  ล้านบาท  มีแบบบ้านเดี่ยว บนพื้นที่ขนาด ตั้งแต่  55-100 ตารางวา   พื้นที่ใช้สอย 155-400 ตารางเมตรให้ความคุ้มค่าเพิ่ม Product Value  รองรับบ้านที่มาพร้อมเทคโนโลยีที่ให้ทุกวันมีความสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยสูง   เพื่อสนับสนุนยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ปีนี้ 3,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปี 2564  ที่ 2,000  ล้านบาท พร้อมเร่งผลักดันตุน Backlog เพิ่ม 600 ล้านบาท  หนุนรายได้ทั้งปีโตอย่างต่อเนื่อง

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล
LALIN มั่นใจโตต่อเนื่อง แม้เผชิญปัจจัยลบรุมเร้า

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN กล่าวถึงผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัว 20.3% ในขณะที่กำไรสุทธิขยายตัวได้ 22.6%   แม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้ามากมาย เกิดการระบาดระลอกสาม ระลอก 4 ขึ้น  โดยเฉพาะการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ที่นำไปสู่การติดเชื้อมากกว่า 20,000 คนต่อวัน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งประเทศเกือบ 2 ล้านคนในปัจจุบัน    สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกับภาคธุรกิจอื่นๆ   กำลังซื้อของผู้บริโภคมีการหดตัวลง จากภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ดังนั้นผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า ก็จะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้   สำหรับลลิลฯ มีการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง  โดยเน้นกลุ่ม Real Demand เป็นหลัก  มีการปรับรูปแบบ Design และ Function ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา ตลอดจนเน้นการขาย Quality of Living คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ จึงเชื่อมั่นว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ในใจของผู้บริโภคเมื่อคิดจะซื้อที่อยู่อาศัย

ทั้งนี้จากกลยุทธ์ที่วางไว้ และการบริหารงานที่รัดกุม ช่วยให้บริษัทยังคงมียอดขายและกำไรที่เติบโต  ผลประกอบการสำหรับไตรมาสสามมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,626.5 ล้านบาท เติบโตได้ 12%  ในขณะที่ยอดรับรู้รายได้ใน 9 เดือนแรกของปี ขยายตัวกว่า 20.3% โดยรับรู้รายได้แล้วที่ 4,828.1 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 80% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเอาไว้ จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถทำผลงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้สำหรับปีนี้    ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี แม้ในภาวะที่ต้นทุนหลายอย่างปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่าน Ratio ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% คงที่จากปีก่อนหน้า   ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ดีขึ้นจาก 9.7% มาอยู่ที่ 9.3%  อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ดีขึ้นจาก 20.6% มาอยู่ที่ 21.0%

สำหรับการขยายธุรกิจในปีนี้ บริษัทสามารถทำได้ตามแผนที่ตั้งไว้ โดยมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมราว 6,000 ล้านบาท   โดยยังคงมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม  โดย ณ สิ้นไตรมาสามนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.63 เท่า  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นไตรมาส 3  จะอยู่ที่ระดับเพียง 0.27 เท่า  สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท และศักยภาพที่สามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

S รายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% ได้แรงหนุนจากธุรกิจรร.ในสหราชอาณาจักร

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้รวม 2,127 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจธุรกิจฟื้นตัว สะท้อนผ่านรายได้รวมที่เติบโตต่อเนื่องติดกันเป็นไตรมาสที่ 3ทั้งนี้รายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย 436 ล้านบาท, ธุรกิจอาคารสำนักงาน 238 ล้านบาท,ธุรกิจโรงแรม 1,422 ล้านบาท, และธุรกิจอื่นๆ 31 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ ยังเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายได้ถึง 44% บวกกับการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น จากการส่งมอบห้องชุดโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36  ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท รายงานกำไร EBITDA ในไตรมาส 3 ปี 2563 จำนวน 351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2564 จะมีการตัดผลประกอบการของบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD ออกจากงบการเงินรวมของสิงห์ เอสเตท ตั้งแต่ต้นปี 2564 หลังจากธุรกรรมการขายเงินลงทุนใน NVD แล้วเสร็จ  แต่รายได้รวมกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของธุรกิจโรงแรม โดยในไตรมาสดังกล่าว รายได้จากธุรกิจโรงแรมจำนวน 1,410 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 1000% จากช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักร
ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในการตัดสินใจปรับพอร์ทโฟลิโอ และขยายการลงทุนในแหล่งรายได้ใหม่ที่บริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพในการฟื้นตัวได้เร็วกว่า ผ่านการเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนเป็น 100% ของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักร ส่งผลให้สิงห์ เอสเตท สามารถรับรู้รายได้จากกลุ่มโรงแรมในพอร์ทนี้ได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักร เนื่องจากการฟื้นตัวเต็มที่ของการท่องเที่ยวในประเทศที่ได้อานิสงค์จากการปลดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 และการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนให้เห็นจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของไตรมาส 3 ปี 2564 กลับไปแตะที่ระดับ 95% ของช่วงก่อนโควิด-19 ได้ และมีส่วนผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมในสหราชอาณาจักรพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการธุรกิจโรงแรมกลับมาดีขึ้น แม้ว่าการดำเนินการโรงแรมในประเทศไทย สาธารณรัฐมอริเชียส และสาธารณรัฐฟิจิ ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติก็ตาม

ด้านธุรกิจอาคารสำนักงานของ สิงห์ เอสเตท ยังสามารถรักษาอัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยโดยรวมได้ที่ระดับ 87% ในงวด 9 เดือน ปี 2564 ผ่านการต่อสัญญากับผู้เช่าเดิมได้อย่างต่อเนื่องและปล่อยเช่าพื้นที่เพิ่มเติม โดยเฉพาะอาคารสำนักงาน สิงห์ คอมเพล็กซ์ที่มีอัตราการปล่อยเช่าสูงถึง 95%

สำหรับธุรกิจที่พักอาศัยจากความสำเร็จในการขาย “โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ทั้งหมดจำนวน 25 ยูนิต คาดว่าจะสามารถเปิดตัวโครงการแรกที่พัฒนาการ 32 ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2565

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์

ASW ผลประกอบการ 9 เดือน กำไรสุทธิแตะ 735.1 ล้านบาท

นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 น่าจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว และกำลังซื้อที่อยู่อาศัย มีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง สอดรับกับนโยบายของรัฐทั้งการเปิดประเทศและมาตรการผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV)  ออกไปถึงปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ยอดขายสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง

ปัจจุบันบริษัทยังมีห้องสร้างเสร็จพร้อมโอนจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาทจากโครงการในทำเลต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายในทุกกลุ่มสินค้า นำโดยแบรนด์โมดิซ (Modiz) แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และโครงการแบรนด์เคฟ (Kave) ซึ่งพร้อมรับอนิสงส์จากมาตรการผ่อนคลาย LTV  และ นอกจากนั้นบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า  7,600 ล้านบาท ที่พร้อมรับรู้รายได้ภายใน 2-3ปี

“ในไตรมาส 4/2564 บริษัทฯคาดว่าจะเปิดอีก 3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวสูง  2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ แอทโมซ ศรีราชา ในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา โครงการ เคฟ เอวา ในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ คือ Puripuri Home office ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายรอโอนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีรายได้รองรับในระยะยาว ผลักดันการเติบโตได้สม่ำเสมอ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการตรียมความพร้อมและแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 โดยยังมุ่งเปิดโครงการอย่างต่อเนื่องในทำเลที่มีความต้องการสูงด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ความเป็น “Best Choice” ในทำเลนั้นๆ และยังมุ่งเร่งก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามเป้าในปี65 เพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ โมดิซ ลอนซ์ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท มียอดขาย 100% โครงการ ไอเวอรี่ รัชดา มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท และโครงการ เคฟ เอวา มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท

นอกจากนั้นบริษัทยังมุ่งหาความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ๆและการใช้นวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจ อาทิเช่น การนำคริปโตเคอเรนซี่เพื่อใช้ในการชำระค่าห้อง หรือการจัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ๆเพื่อขยายและสร้างผลกำไรแก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง

โดยภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส3/2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 156.8  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.4% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 90.5 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,134.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68.2% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 674.4 ล้านบาท

สำหรับงวด 9 เดือนของปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 735.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136.0% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 311.5 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,415.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น56.9% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 2,176.5 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังสามารถรักษา อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 45.1% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.0 %

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์

 

MKเผยธุรกิจโรงงาน-คลังสินค้ายังโต

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)หรือ MK กล่าวถึงผลการดำเนินงาน  สำหรับไตรมาส 3 ปี 2564 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) ว่า บริษัทและบริษัทย่อย ขาดทุนสุทธิจำนวน 62.31 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 125.04 ล้านบาท สืบเนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในส่วนของรายได้จากการขายและบริการ มีจำนวน 786.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.12% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันกับปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 740.88 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากธุรกิจเพื่อขายที่อยู่อาศัย (Real Estate) มีจำนวน 664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.52 ล้านบาท หรือ 8.59% และธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ (Recurring Income) มีจำนวน 122.27 ล้านบาท ลดลง 7.14 ล้านบาท หรือ 5.52% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3  ของปีก่อน เนื่องด้วย “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” ได้ขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อโอนเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (“กองทรัสต์”) ทั้งนี้ธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ซึ่งบริหารงานโดย “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” ยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดี ไตรมาสนี้สามารถสร้างอัตราการเช่า (Occupancy rate) ได้สูงกว่า 90% ทั้งนี้สำหรับภาพรวมการทำงาน 9 เดือนของกลุ่มบริษัทมีรายได้ทั้งสิ้นจำนวน 1,893.58 ล้านบาท
“ไตรมาส 3 กลุ่มบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีเรายังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการภายใน โดยเฉพาะการควบคุมต้นทุนและปรับลดค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และด้วยการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานไตรมาสนี้ลดลง 21.84 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน” นายวรสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้จากภาพรวมรายได้ทั้งหมดของกลุ่มบริษัท เห็นได้ว่ามีรายได้จากการขายและบริการที่สูงขึ้นกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 45.38 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 6.12% โดยในส่วนรายได้ของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ 664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.51 ล้านบาท หรือ 8.59%, ธุรกิจให้เช่าและบริการ มีจำนวน 88.28 ล้านบาท ลดลง 1.71 ล้านบาท หรือ 1.89%, ธุรกิจสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ มีจำนวน 11.71 ล้านบาท ลดลง 16.31 ล้านบาท หรือ 58.21% เนื่องจากมาตรการปิดสถานที่ให้บริการต่างๆเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สนามกอล์ฟต้องหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม -31 สิงหาคม 2564 เป็นระยะเวลา 40 วัน โดยปัจจุบันได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติตามมาตรการของภาครัฐฯ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากเหล่านักกอล์ฟ

สำหรับธุรกิจบริการด้านสุขภาพโครงการรักษ (RAKxa) ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้เช่นกันเพราะเป็นสถานประกอบการที่เข้าข่าย ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น World Class medical wellness destination “รักษ” ได้มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมเพื่อให้ สอดรับกับนโยบายการเปิดประเทศ โดยมีการทำงานร่วมกับภาครัฐส่วนต่างประเทศ รวมถึงมีการติดต่อทำสัญญา          การขายกับตัวแทนขายต่างประเทศมากขึ้น เร่งทำการตลาดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มีการเสนอขายแพคเก็จในราคาพิเศษการใช้สื่อดิจิทัล การเพิ่มแผนฝึกอบรมพนักงานทุกจุด รวมถึงเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายอีกด้วย

“ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างรายได้ที่วางไว้ (Sustainability Development Roadmap) และเพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินงาน เรายังคงมุ่งมั่นมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อมาต่อยอดจากธุรกิจเดิมที่กลุ่มบริษัทดำเนินการอยู่โดยเฉพาะในฝั่งธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการหรือ Recurring Income ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ารวมถึงธุรกิจเพื่อสุขภาพซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ และคาดว่าน่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในปี 2565” นายวรสิทธิ์ กล่าวในที่สุด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*