ซีแพนเนลฯเชื่อปี 65 เศรษฐกิจตลาดอสังหาฯเริ่มฟื้นตัวเติบโต 10-15% ผู้ประกอบการเริ่มแข่งเดือด พร้อมปรับกลยุทธ์ลดต้นทุนลดความเสี่ยง จับตาเทรนด์ใหม่ รายกลางใหญ่ หันสั่ง Precast Concrete เสริมกำลังผลิตเดิม หวังรองรับรุกขยายเปิดตัวโครงการใหม่ลดปัญหาขาดแคลนแรงงานค่าแรงปรับสูงขึ้น ระบุไตรมาส2/64 รับงานใหม่จากลูกค้ารายเดิมรายใหม่  7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 199  ล้านบาท เผยผลประกอบการงวด 9 เดือน กวาดกำไรสุทธิ 20.19 ล้านบาท มั่นใจปี 65 รายได้เติบโตกว่า 25%
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ ซีแพนเนล จำกัด(มหาชน)หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป(Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast)ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯริมทรัพย์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 ว่า จะสามารถเติบโตประมาณ 10-15% เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งระบายสต๊อก และขยายการเติบโตตามหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่คาดว่าจำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้น จากการโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยมีเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ คาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะทยอยฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาในหลายพื้นที่ ส่งผลให้โครงการบ้านยังเป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าการแข่งขันของผู้ประกอบการจะยิ่งสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน บริหารความเสี่ยง ลดเวลาการก่อสร้าง รวมถึงใช้วัสดุที่ทำให้การก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้น ซึ่ง Precast Concrete เป็นเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้

“แรงงานก่อสร้างยังขาดแคลน เพราะต้นทุนแรงงานสูง ทำให้ค่าแรงสูงขึ้นไปด้วย สำหรับมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ( Lone To Value : LTV) ทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้านได้มากขึ้น ส่วนการอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาฯในประเทศไทยมากขึ้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการร่างกฎหมาย โดยมี 3 กลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มวัยเกษียณ กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มที่มาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ”นายชาคริต กล่าว

ช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมากลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์ไม่ได้รับผลกระทบ ยังมียอดผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการระดับกลาง-บน ที่พัฒนาโครงการในรูปแบบแนวราบ และส่วนใหญ่ผลิตระบบพรีแคสของตนเองใช้เองอยู่แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทเปิดให้บริการตั้งแต่ปีแรกของการผลิต โดยสาเหตุที่ต้องมาสั่งสินค้าของบริษัทฯเพราะกำลังผลิตไม่ทัน เนื่องจากมีการขยายการพัฒนาโครงการไปในหลายพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งจากปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนและค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะไม่ส่งผลให้ผลกำไรของผู้ประกอบการเหล่านี้ลดลงแต่อย่างใด  ซึ่งรูปแบบการดำเนินการเหล่านี้จะเป็นเทรนด์ใหม่ของผู้ประกอบการที่จะเริ่มเห็นในปี 2565 มากขึ้น

หากเป็นโครงการแนวสูงจะซื้อผ่านผู้รับเหมาก่อสร้าง และเชื่อว่าในปี 2565 จะมีลูกค้าแนวสูงกลับมาใช้สินค้าของบริษัทฯมากขึ้น จากปัจจุบันเริ่มเห็นภาพชัดเจนแล้วในปีนี้ มีลูกค้าโครงการอาคารสูงกลับมาในสัดส่วน 8% จากปี 2563 ที่ผ่านมาเหลือเพียง 1-2%  และรูปแบบการก่อสร้างคอนโดฯจะเปลี่ยนไป โดยจะก่อสร้างได้เมื่อมียอดขายได้ 75% จากเดิม 50% เพราะลดความเสี่ยงเรื่องการโอน

“แต่อาคารสูงจะเห็นงานก่อสร้างได้ช้ากว่าแนวราบ เพราะต้องรอให้ผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ก่อน ขณะที่ลูกค้าโรงงานก็ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ 10% จากปีที่ผ่านมาหายไปหมดเป็นตัวเลข 0% ส่วนลูกค้าแนวราบมีประมาณ 80%”นายชาคริด กล่าว

โดยในช่วงไตรมาส 2/2564 ที่ผ่านมาบริษัทรับงานใหม่จากลูกค้ารายเดิม และลูกค้ารายใหม่ 7 โครงการ อาทิ Motif Townhouse,สัมมากร คู้บอน, พาโน เซน, Victoria, แสนสิริ K- series อ่อนนุช, TMT Land และ กานดา ลำลูกกา คลอง 2 มูลค่ารวมกว่า 199  ล้านบาท อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าประเภทแนวราบและแนวสูงอีกหลายราย ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

“ในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัทฯชะลอการก่อสร้าง ส่งผลให้ชะลอการสั่งสินค้าไปด้วย แต่บริษัทฯก็ไปได้ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการในจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศแทน ทำให้มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าในปี 2566 ราคาสินค้าจะปรับเพิ่มขึ้นแน่นอน เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะมีการใช้แรงงานคนน้อยลง แต่ราคาขายสินค้ายังเป็นไปตามค่าแรงขั้นต่ำ”นายชาคริต กล่าว

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2564 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.19 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปี 2563 อยู่ที่ 13.13 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/64 บริษัทมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง

ทั้งนี้ โรงงานแห่งที่ 2 จะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 2/2565 และแล้วเสร็จไตรมาส 3/2566 และบริษัทเตรียมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณฟื้นตัวในปี 2565 ซึ่ง CPANEL ถือเป็นเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิต สามารถผลิต Precast Concrete ได้รวดเร็วมากขึ้น และสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5-10% นอกจากนี้ยังคาดว่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆนี้ ทั้งนี้ มั่นใจว่าการดำเนินงานในปี 2564  จะสามารถทำรายได้ตามเป้าที่ปรับใหม่ไม่ต่ำกว่า 35% และความสามารถการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในปี 2565 คาดว่ารายได้จะเติบโตมากกว่า 25%

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*