ออริจิ้นฯ แย้มแผนต้นปี 65 เตรียมร่วมทุนพันธมิตรขยายไลน์ธุรกิจต่อเนื่อง หวังต่อยอดสร้างการเติบโต ส่วนภาคที่อยู่อาศัยประกาศผุดแนวราบ 9 โครงการ มูลค่ารวม 10,800 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล และจังหวัดศักยภาพ เชื่อหลายปัจจัยบวกช่วยฟื้นธุรกิจอสังหาฯ ล่าสุดรุกธุรกิจบริการสุขภาพ ลงทุน “ไทย ลีฟ” ประกาศแผน 5 ปี เดินหน้าธุรกิจนำเข้าเมล็ด-ปลูก-สกัดกัญชงครบวงจร ต่อยอดเมกะเทรนด์สุขภาพโลก เจาะโอกาสไทยในการเป็น Medical Hub ขยายตลาดสู่อาเซียน เตรียมจำหน่ายส่วนประกอบของต้น-น้ำมัน CBD บริสุทธิ์ประเดิมตลาด คาด 5 ปี จะมีกำไรที่ระดับ 1,000 ล้านบาท มั่นใจเฮลท์เทคมีมูลค่าเทียบเท่ากับยูนิคอร์น 1 ตัว
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทฯมีแผนที่จะร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อขยายไลน์ธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะประกาศการร่วมทุนประมาณเดือนมีนาคม 2565 โดยยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการขยายไลน์ธุรกิจที่หลากหลายจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับฐานลูกค้า เนื่องจากจะเป็นการช่วยต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปีหน้านั้น โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ได้ประกาศแผนเปิดตัว 9 โครงการใหม่ในปี 2565 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดที่มีศักยภาพในสัดส่วนประมาณ 20% เช่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา  โดยทั้ง 3 จังหวัดดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาทั้งในรูปแบบของแนวราบและคอนโดฯ ส่วนอีก 2 จังหวัด คือ อุดรธานี และขอนแก่น จะพัฒนาบ้านเดี่ยว ระดับราคา 4-8 ล้านบาท  ส่วนแผนการเปิดตัวโครงการประเภทคอนโดฯนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมแผนการ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

จากการที่ภาครัฐส่งสัญญาณบวกในหลายๆเรื่อง ส่งผลให้ภาคธุรกิจอสังหาฯเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากหลายปัจจัย อาทิ

การผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ไปถึงปลายปี 2565 ซึ่งบริษัทฯมีกลุ่มลูกค้าแนวราบ ที่ซื้อที่อยู่อาศัยบ้านหลังที่ 2-3 มากถึงสัดส่วน 80-90% ส่วนนักลงทุนซื้อคอนโดฯก็มีมาก ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นและเป็นโอกาสของ INVESTMENT PROPERTY

ภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จะช่วยให้ภาคอสังหาฯฟื้นตัวตามไปด้วย คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ในปี 2565 อาจขึ้นไปที่ระดับมากกว่า 5%

ตลาดต่างประเทศ ที่คาดว่าลูกค้าต่างชาติจะกลับมาในปลายไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป คาดว่าคอนโดฯจะมียอดขายที่ระดับประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท จากช่วงสูงสุด เคยทำยอดขายได้มากที่สุดถึง 80,000 ล้านบาท

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีสิ่งที่วิตกกังวลเล็กน้อย คือ ข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” (Omicron) แต่ก็มีการเตรียมแผนรับมือไว้เช่นกัน เพราะในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาด 2 ปีที่ผ่าน บริษัทฯก็สามารถรับมือและผ่านมาได้ด้วยดี อีกเรื่องคือ ปัจจัยด้านการเมือง มองว่าคงไม่มีอะไรที่แย่กว่าที่ผ่านมาแล้ว การประกาศเลือกตั้งใหม่ของภาครัฐ อาจจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆในด้านบรรยากาศทางการเมือง และคุณภาพของนักการเมือง ในปลายปี 2565 ได้ดี

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯมั่นใจว่าจะติดอันดับ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 7 ผู้ประกอบการที่เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด คิดเป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท และคาดว่าภายในอีก 3 ปี จะขึ้นติดอันดับ 1 ใน 3 อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันในด้านยอดรายได้ ปัจจุบันติดอันดับ 1 ใน 10 ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ด้านยอดขายนั้นในปี 2564 นี้จะเป็นปีแรกที่สามารถทำยอดขายได้สูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทมา โดยขณะนี้ยอดขายอยู่ที่ระดับกว่า 30,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่เคยทำยอดขายได้ดีที่สุดที่ 28,000 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้ากลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare)ในช่วงที่ผ่านมาบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ORI ได้เข้าลงทุนสัดส่วน 25% ในบริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (ไทย ลีฟ) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต และสกัด CBD จากกัญชง ที่มีพันธมิตรแข็งแกร่งจากทั้งออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดผลิตภัณฑ์จากสารสกัด(CANNABIDIOL : CBD) จากกัญชงที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่ากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่น่าจับตามอง จึงคาดว่าการเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชงกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญอย่างไทย ลีฟ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ORI ในการขยายสู่ธุรกิจใหม่ มุ่งให้บริการด้านสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งจะสร้างการเติบโตและมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเฮลท์แคร์ในระยะยาว

สำหรับการเติบโตของไทย ลีฟ ในอนาคต จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าในปี 2568 ไทย ลีฟ จะมีรายได้รวมที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่ง ORI จะรับรู้เป็นกำไรจากการลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยเบื้องต้นคาดว่าอีก 5 ปีจากนี้ จะมีกำไรที่ระดับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าเฮลท์เทคนี้จะมีมูลค่าที่เท่ากับยูนิคอร์น 1 ตัว ขณะเดียวกันจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap) ที่ระดับ 25,000-30,000 ล้านบาท และในปี 2567 จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของ ORI เป็นอย่างดีในอนาคต

ขณะที่นายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้รับการเข้าลงทุนและความร่วมมือจากพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทั้งในไทย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และ สิงคโปร์ อาทิ ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ในเครือ ORI , Cannapharma Investment Inc. บริษัทด้านการลงทุน จากแคนาดา ที่เข้าลงทุนในบริษัท ที่มีศักยภาพ ในธุรกิจกัญชง กัญชาทางการแพทย์ เทคโนโลยีการเกษตร (AgriTech) และไบโอเทคโนโลยีทั่วโลก, บริษัท เอราเลียน แคปปิตอล บริษัทการลงทุนจากสิงคโปร์, มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา ด้านฝ่ายงานการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชง เพื่อร่วมกันดำเนินธุรกิจนำเข้าเมล็ดพันธุ์ ปลูก สกัด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง แบบครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“จากความเชี่ยวชาญของทีมงานในธุรกิจด้านสุขภาพ เมื่อผสานกับความแข็งแกร่งของพันธมิตรรายใหญ่ จะเพิ่มศักยภาพ ในการดำเนินทุกกระบวนการตั้งแต่การปลูก การผลิต การสกัด การวิจัยและพัฒนามากขึ้น ทำให้เรามีเครือข่ายฐานลูกค้า เครือข่ายวัตถุดิบ และพันธมิตรในธุรกิจสุขภาพกว้างขึ้น จากความร่วมมือและผลักดันของทุกฝ่ายจะช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ในตลาดกัญชง จนสามารถขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วอาเซียน” นายยิ่งยศ กล่าว

สำหรับ แผนธุรกิจระยะ 5 ปี (2565-2569) จะดำเนินงานภายใต้ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่

1.ธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน CBD (CBD Oil) โดยจะจำหน่ายให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร ธุรกิจยา ธุรกิจสุขภาพ ที่ต้องการนำ CBD ไปใช้เป็นส่วนผสม เริ่มดำเนินการก่อนเป็นกลุ่มธุรกิจแรก

2.ธุรกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มี สารสกัด CBD (CBD-based Products) จะมีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีทรัพย์สินทางปัญญา ของพันธมิตรที่มีส่วนผสมสาร CBD สำหรับรับประทานกว่า 100 ชนิด

3.ธุรกิจผลิตภัณฑ์ทางยา (Pharmaceutical Products) จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนผสมของสาร CBD

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทได้รับการอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจนำเข้าเมล็ดพันธุ์และเพาะปลูกกัญชง และได้รับอนุมัติแบบแปลนการ ก่อสร้างโรงงานสกัด CBD ตามมาตรฐาน GMP Pic/s (Pharmaceutical) จากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาค้นคว้าวิจัยร่วมกับพันธมิตร ผู้เชี่ยวชาญ อย่างมหาวิทยาลัยคอร์เนล ประเทศสหรัฐอเมริกา ในด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กัญชง เพื่อนำไปพัฒนาและศึกษาต่อในทางการแพทย์

ส่วนการพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD ในกัญชง คาดว่าบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน CBD ได้ตั้งแต่ในปี 2565 ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากยอดขายรวมประมาณ 750 ล้านบาท และในปี 2566 จะออกผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าของตัวเอง ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโรงงาน ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.นครนายก บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2565  ซึ่งอนาคตยังมีแผนที่จะดำเนินการในรูปแบบของ Wellness Resort ซึ่งจัดทำเป็นแพ็กเกจให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2565 นอกจากนี้ ในอนาคตคบริษัท ไทยส ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*