เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่งฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งหลังปี 65 โดยเฉพาะแนวราบ ขณะที่การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ผู้ประกอบการหันเปิดตัวโครงการใหม่เพียบ ด้านแผนปีเสือจ่อผุดบ้านเดี่ยวบ้านแฝด 5 โครงการใหม่โซนเหนือตะวันตก กทม. รวมมูลค่า 4,500 ล้านบาท ทั้งตั้งงบซื้อที่ดินปีนี้เพิ่มอีก 800-1,000 ล้านบาท ล่าสุดทุ่ม 200 ล้านบาท เปิดศูนย์ Wellness & Sport Center ภายใต้แบรนด์ “NC Regen” 2 แห่ง ทักเร่งทำการตลาดสร้างการรับรู้แบรนด์“ศิริอรุณ” มากขึ้น หวังกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการ เมินการใช้ Cryptocurrency เหตุยังมีความผันผวนสูง ตั้งเป้ากวาดยอดขายปี 65 แตะ 4,600 ล้านบาท และรายได้ 2,500 ล้านบาท
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ NCH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2565 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ในสภาวะค่อยฟื้นตัว เนื่องจากมีความเสี่ยงจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงัน หรือ Global Supply Disruption ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ แต่คาดว่าจะทยอยคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปี ดีมานด์ความต้องการบ้านแนวราบจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ทุกคนยังตระหนัก  รวมถึงการใช้แนวทางการอยู่ร่วมกับโควิด-19 อย่างปลอดภัย หรือ Living with COVIDในฐานะผู้ประกอบการยังมีความอุ่นใจที่ภาครัฐขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน และจดจำนอง เพื่อช่วยผู้ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้นช่วยกระตุ้นกำลังซื้อบ้านปี 2565 และมีความหวังว่าตลาดที่อยู่อาศัย จะกลับมาดีขึ้น มีการดูดซับในตลาดมากขึ้นเมื่อผู้ซื้อบ้านมีความมั่นใจ

อย่างไรก็ตามบริษัทฯมองว่าในปีนี้การแข่งขันจากผู้ประกอบการในตลาดจะรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ซัพพลายรวมในตลาดหายไปค่อนข้างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่าน ทำให้ในปีนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายรายกลับมาเปิดโครงการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการฟื้นตัวของตลาดที่กลับมาดีอีกครั้ง โดยที่บริษัทยังมีบ้านที่พร้อมขายในสต๊อกสามารถขายและโอนให้กับลูกค้าได้ทันทีมูลค่ารวม 400-500 ล้านบาท

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565  เตรียมเปิดตัวแนวราบ 5 โครงการใหม่  3  ทำเลศักยภาพ  มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ในสัดส่วนกว่า 70% หลังจากที่ปีก่อนหน้าบริษัทเปิดโครงการประเภททาวน์เฮาส์ เป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีนี้บริษัทจะลดการเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ลดลง ทั้งนี้ที่ดินในการพัฒนาทาวน์เฮาส์ที่อยู่ใกล้เมืองเริ่มหายากมากขึ้น โดยที่ทำเลที่บริษัทจะพัฒนา อยู่ในทำเลกรุงเทพฯโซนเหนือ เช่น รังสิต และกรุงเทพฯตะวันตก เช่น ราชพฤกษ์ เป็นต้น

อีกทั้งมีการเดินหน้าซื้อที่ดินใหม่เข้ามา เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีนี้บางส่วน โดยเฉพาะทำเลกรุงเทพฯตะวันตก หลังจากที่ปีก่อนหน้านี้บริษัทไม่ได้มีการซื้อที่ดิน และหันมาใช้ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทในการพัฒนาโครงการ ทำให้ในปีนี้จะต้องกลับมาซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยวางงบซื้อที่ดินในปีนี้ ไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการใช้เงินทุนของบริษัทในการซื้อที่ดินใหม่เข้ามา

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มอีก 200 ล้านบาท ในการพัฒนาศูนย์ Wellness & Sport Center ภายใต้แบรนด์ NC Regen 2 แห่ง ในโครงการบ้านฟ้าปิยรมย์ วงแหวนลำลูกกา คลอง 6 พื้นที่ 5,328 ตารางเมตร และโครงการ Thanya Golf Club ลำลูกกา คลอง 5 พื้นที่ 1,015 ตารางเมตร ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาเสริมการให้บริการลูกบ้านในโครงการนั้นๆ รวมถึงเปิดรับสมาชิกจากบุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริการด้าน Sport และ Wellness ที่จะเข้ามาช่วยสร้างรายได้จากการบริการเข้ามาเสริมให้กับบริษัท

สำหรับธุรกิจด้าน Wellness ของบริษัทในปัจจุบันที่เปิดให้บริการด้านสุขภาพ คือ “ศิริอรุณ” ปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง และอุบลราชธานี 1 แห่ง ซึ่งรายได้ยังไม่เข้ามามาก เนื่องจากเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มลูกค้าชะลอการเข้ามาใช้บริการ และบริษัทยังไม่สามารถทำการตลาดได้อย่างเต็มที่ ทำให้รายได้ในช่วงที่ผ่านมามีประมาณ 10 ล้านบาท และยังไม่มีแผนการขยายสาขาเพิ่มในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทยังคงรอดูทิศทางของการกลับมาเปิดประเทศและการฟื้นตัวเศรษฐกิจอีกครั้ง ที่จะเป็นปัจจัยหนุนต่อการกลับมาใช้บริการของลูกค้า ซึ่งในปีนี้บริษัทจะมีการทำการตลาดโครงการ “ศิริอรุณ” มากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการ รวมถึงการทำการตลาดควบคู่ไปกับแบรนด์ NC Regen ที่เป็นศูนย์สุขภาพด้านกีฬา ที่บริษัทแตกแบรนด์ออกมาเสริมตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการออกกำลังกาย โดยที่บริษัทคาดว่าในช่วง 3 ปีจากนี้ สัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 5-10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีอยู่น้อยมาก

ส่วนการรับชำระในการซื้อบ้านด้วย Cryptocurrency ของบริษัทนั้นยังไม่มีแผนการเปิดรับชำระแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯมองว่า Cryptocurrency ยังมีความผันผวนของราคาที่มาก และมีความเสี่ยงในเรื่องของการนำไปใช้ชำระจากกฎระเบียบของหน่วยงานที่กำกับดูแลที่เข้ามาควบคุม และมองว่าการนำ Cryptocurrency มาใช้ซื้อสินค้าและบริการยังมีอยู่น้อย  อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อบ้านยังพึ่งพาเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นหลัก สำหรับการออกหุ้นกู้ในปี 2565 บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หลังจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้อาจจะต้องมีการล็อกอัตราดอกเบี้ยไว้ ทำให้บริษัทต้องมีการพิจารณาแนวทางในการล็อกต้นทุน โดยที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วราว 300 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2565 ไว้ที่ 4,600 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำยอดขายได้กว่า 4,100 ล้านบาท ด้านรายได้ของบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) ของบริษัทฯ โดยเติบโต 25% จากปีก่อน โดยที่บริษัทยังคงมั่นใจการโอนโครงการและพฤติกรรมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ส่วนหนึ่งจะมีรายได้ที่รับรู้เข้ามาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 700-800 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาใช่ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ทั้งหมด

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*