บิ๊กพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯแนะรัฐเร่งฟื้นเศรษฐกิจไทยออกมาตรการการเงินอัดฉีดสภาพคล่องทุกภาคธุรกิจ อย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หวังเกิดการจ้างงานเพิ่ม ประกาศแผนปี 65 เดินหน้าสร้างฐานะการเงินแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโต ตั้งเป้ารายได้แตะ 28,300 ล้านบาท วางแผนลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเหลือ 1.2 เท่า ด้านยอดขายจากอสังหาฯ ทั้งกลุ่มวางเป้าไว้ 18,000 ล้านบาท   เล็งเปิด 15 โครงการใหม่ทั้งพัฒนาเองร่วมทุน รวมมูลค่า 26,210 ล้านบาท พร้อมรีเฟรชแบรนด์บ้านเดี่ยว เพิ่มแนวทางรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ด้าน แกรนด์ แอสเสทฯ มั่นใจรายได้ปีนี้โตก้าวกระโดดที่ 5,500 ล้าน จากคอนโดฯร่วมทุนที่แล้วเสร็จพร้อมโอน
นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF เปิดเผยว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2565 นี้จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่มองว่ารัฐบาลยังมีนโยบายที่ไม่ชัดเจน ในการจัดการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของมาตรการทางการเงินที่มาช่วยผู้ประกอบการ และมาตรการทางด้านการท่องเที่ยวที่จะต้องกระตุ้นให้ฟื้นตัวให้ได้ ซึ่งมีผลต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่ที่ผ่านมารัฐใช้แต่มาตรการการคลัง ทำให้เกิดภาระที่เกินเกณฑ์ค่อนข้างมาก จึงอยากให้รัฐบาลนำมาตรการด้านการเงินออกมาใช้ในการอัดฉีดสภาพคล่องในทุกภาคธุรกิจ อย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เกิดการจ้างงานได้มากขึ้น และเศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ และไม่เกิดหนี้สูญอย่างแน่นอน ซึ่งในต่างประเทศได้ดำเนินการเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าในปีนี้ประเทศไทยคงจะมีการนำมาตรการด้านการเงินมาใช้ได้ในปีนี้

ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะคอนโดฯและโรงแรม เท่านั้น สำหรับปีนี้คงเป็นปีที่เน้นการสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายที่จะลดภาระหนี้ลงอีก หลังจากที่สามารถลดระดับหนี้สินสุทธิต่อทุนมาอย่างต่อเนื่อง จาก 2.1 ในปี 2563 เหลือ 1.7 ในปี 2564 และตั้งเป้าให้อยู่ที่ 1.2 ในปีนี้ รวมไปถึงขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ-โรงแรม ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมทุนพัฒนาอสังหาฯกับพันธมิตรต่างชาติ ,การร่วมทุนผลิต-ส่งออกถุงมือยาง และการขายที่ดิน และการออก REIT เพื่อเสริมสภาพคล่อง-ลดหนี้สิน

โดยประมาณการรายได้รวมปีนี้อยู่ที่ 28,300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 12,000 ล้านบาท แกรนด์ แอสเสทฯ 2,800 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดินและสิทธิการเช่า ขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ 8,500 ล้านบาท และรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5,000 ล้านบาท (ถือว่าเป็นปีที่มีรายได้จากการร่วมทุนมากที่สุด) ซึ่งชาวต่างชาติทั้ง 3 ราย ที่ร่วมทุนกับบริษัทฯยังมีความมั่นใจในการลงทุนกับบริษัทฯและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในบ้านเดี่ยวและคอนโดฯระดับลักชัวรี่ และบริษัทฯยังไม่มีแผนที่จะร่วมทุนกับกลุ่มทุนต่างชาติรายอื่นแต่อย่างใด

“ปีนี้ กลุ่มบริษัทจะเน้นการจัดการโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายที่จะลดภาระหนี้ลงอีก หลังจากที่สามารถลดระดับหนี้สินสุทธิต่อทุนมาอย่างต่อเนื่อง จาก 2.1 ในปี 2563 เหลือ 1.7 ในปี 2564 และตั้งเป้าให้อยู่ที่ 1.2 ในปีนี้ สำหรับรายได้ของปีนี้จะเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา กลยุทธ์สำคัญคือการเติบโตของรายได้จากการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่ ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทำรายได้รวมถึง 5,000 ล้านบาท และยังมีการร่วมทุนในธุรกิจถุงมือยาง ที่จะสร้างรายได้อีก 2,152 ล้านบาท บวกกับการขายที่ดินและจัดตั้งกองทรัสต์ จะทำให้กลุ่มบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น” นายศานิต กล่าว

นายศานิต กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับที่ดินที่จะขายนั้นมีจำนวน 2 แปลง มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท คือ ที่ดินย่านรามอินทรา พื้นที่ 60 กว่าไร่ ติดรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีคู้บอน มูลค่า 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการชาวไทยที่ดำเนินธุรกิจอสังหาฯ 1 ราย และที่ดินย่านรัชดาภิเษก  ซึ่งเป็นของบริษัท วีรีเทล จำกัด(มหาชน) มูลค่า 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการ 2 ราย เป็นชาวต่างชาติ ที่ดำเนินธุรกิจประกันชีวิต 1 ราย และคนไทย ที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีก 1 ราย  ซึ่งมั่นใจว่าการเจรจาขายที่ดินทั้ง 2 แปลงจะสามารถจบได้ภายในครึ่งหลังของปีนี้

นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเตรียมนำโรงแรม Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust) หรือ REITโดยโรงแรมดังกล่าวมีมูลค่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโรงแรมที่มีความน่าสนใจ จากทำเลที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศมากขึ้น จากการกลับมาของนักท่องเที่ยว รวมถึงนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งจะเลือกพักโรงแรมที่อยู่ใกล้กับสุขุมวิท ทำให้เป็นโรงแรมที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทเลือกมานำขายเข้า REIT ในปีนี้

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF  กล่าวว่า ภาพรวมและแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯในปี 2565 นี้มีการฟื้นตัวดีขึ้น ผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้น แต่ยังเน้นไปที่โครงการแนวราบโดยตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ยังเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่ตลาดคอนโดฯยังไม่ฟื้นตัว เพราะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในประเทศไทยยังไม่กลับมาในช่วงนี้ สำหรับแผนการดำเนินการในปีนี้ จะเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่ารวม 26,210 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาเอง 12 โครงการ มูลค่า 14,775 ล้านบาท และร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ 3 โครงการ มูลค่า 11,435 ล้านบาท และถือเป็นปีที่ 3 ที่พัฒนาแต่โครงการแนวราบ ไม่มีการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียม

ทั้งนี้โครงการเปิดใหม่ที่ถือเป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” ซึ่งร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ มูลค่าโครงการ 6,275 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์บ้านบนเนินติดทะเลสาบ พร้อมการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ จับเซกเมนต์ใหม่ในกลุ่มตลาดบน ในทำเลพหลโยธิน สุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ และ รัตนาธิเบศร์ นอกจากนี้ การเปิดให้บริการของรถไฟฟ้า 2 สายใหม่ คือ สายสีเหลืองและสีชมพู รวมถึงการขยายตัวของทำเลราชพฤกษ์ ที่จะมีห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ถึง 3 แห่ง ยังจะส่งผลบวกต่อโครงการของบริษัทที่มีอยู่ในทำเลดังกล่าวด้วย

“บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายโครงการบ้านระดับบนของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปีก่อนที่ 35% ซึ่งในปีนี้บริษัทยังมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ยังมีความสามารถในการซื้อต่อเนื่อง และมองหาโอกาสในการซื้อที่อยู่อาศัยต่อเนื่องเช่นเดียวกัน” นายวงศกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทฯยังรีเฟรชแบรนด์บ้านเดี่ยว ด้วยการปรับเปลี่ยนโลโก้ และพัฒนาโครงการให้รับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ผ่านแนวคิด PERFECT” ใน 7 ด้าน ได้แก่

1.P–Partnership ร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาสินค้าให้โดดเด่นและแตกต่างในตลาดที่อยู่อาศัย

2.E–Environment ตอกย้ำการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งปีนี้จะร่วมมือกับผู้ออกแบบสวนสวยติดอันดับโลก สร้างมิติใหม่ของพื้นที่สีเขียวในบ้านและในโครงการ

3.R–Refinement การปรับเปลี่ยนภายในบ้านทุกแบรนด์ ให้มีพื้นที่และฟังก์ชั่นที่รองรับไลฟ์สไตล์ของทุกเจน

4.F–Facility เดินหน้าสร้างคลับเฮาส์ขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์การใช้งาน และพื้นที่ส่วนกลางที่ให้มากกว่า

5.E–Energy ตอบรับเทรนด์ด้านพลังงานด้วยการติดตั้ง EV Charger ในบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม รวมทั้ง Solar Rooftop ที่คลับเฮาส์

6.C–Community การสร้างชุมชนที่น่าอยู่ มีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับสมาชิกโครงการ มี Living Solutions ใหม่ พร้อมความร่วมมือกับ AIS ให้สมาชิกโครงการสามารถโอนคะแนนสะสมไปเป็น เอไอเอส พอยท์ เพื่อใช้สิทธิ์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น

7.T–Technology การนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยมีความร่วมมือเพิ่มเติมกับ AIS กับมาตรฐาน Fiber to the home เต็มรูปแบบด้วยไฟเบอร์ออฟติคเชื่อมต่อไปยังทุกพื้นที่หลักของบ้าน และ AIS SuperWifi ความเร็วสูงสุด 2 Gbps ในคลับเฮาส์

อย่างไรก็ตามในปีนี้กลุ่มบริษัทวางเป้าขายไว้ที่ 18,000 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 10,500 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมทั้งในประเทศและประเทศญี่ปุ่น 2,500 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 5,000 ล้านบาท ในส่วนของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ณ สิ้นปีที่ผ่านมา มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Presale Backlog) 2,126 ล้านบาท

นายวิทวัส วิภากุล
ด้าน นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แม้ขณะนี้ภาครัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือแต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด อย่างไรก็ตามบริษัทฯคาดว่าในปีนี้จะมีการฟื้นตัวและเติบโตอย่างชัดเจน ทั้งธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากมาตรการเปิดประเทศ ส่วนรายได้ปีนี้ จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าไว้ 5,500 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 1,800 ล้านบาท และจากโครงการร่วมทุน 2,700 ล้านบาท รายได้หลักจะมาจาก “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ โครงการร่วมทุนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ของปีนี้  ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้อยู่แล้ว 2,017 ล้านบาท

“อัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือของ GRAND คาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับที่เป็นจุดคุ้มทุน (Breakeven) ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 หรือปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ยรวม 50% จากการที่ภาคการท่องเที่ยวค่อยๆฟื้นตัวกลับมา หลังภาครัฐเริ่มกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกยังคงพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก จากการที่ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่งอเที่ยวในประเทศ และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเริ่มเห็นนักท่งอเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่คาดว่าจะเห็นการท่งอเที่ยวไทยฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น” นายวิทวัส กล่าว

สำหรับเป้าขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 400 ล้านบาท วิลล่าในจังหวัดระยอง 600 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนอีก 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม วางเป้ารายได้ที่ 1,800 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง คาดโรงแรมในกลุ่มบริษัทจะมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีที่ระดับสูงกว่า 50% โดยตลาดชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศ ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากมาตรการเปิดประเทศ เนื่องจากหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเริ่มมีมาตรการผ่อนปรนเรื่องการเดินทางมากขึ้น ตัวอย่างเช่น โครงการ Test & Go ที่เปิดโอกาสให้นักเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการกักตัว

ส่วนธุรกิจผลิตถุงมือยาง ซึ่งดำเนินการภายใต้บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) เพื่อผลิตและจำหน่ายถุงมือยางสังเคราะห์ (Nitrile) ภายใต้แบรนด์ GGG มีโรงงานผลิตที่จ.ฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ 21 ไร่ ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 โดยติดตั้งเครื่องจักร 1 และ 2 พร้อมเดินเครื่องและบันทึกรายได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 2,152 ล้านบาท บริษัทยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และกำลังทยอยติดตั้งสายการผลิตอื่นๆ ต่อไปให้ครบ ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้จากทั้ง 16 สายการผลิตภายในปีนี้

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*