รองนายกฯเผยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 65 เริ่มทยอยฟื้นตัว เห็นได้จากโครงข่ายรถไฟฟ้าในพื้นที่กทม.ปริมณฑล ที่แล้วเสร็จตามกำหนด เชื่ออีก 6 เดือนเป็นตัวเลขสร้างความเชื่อมั่นภาคอสังหาฯมากขึ้น หวั่นปัญหาเงินเฟ้อ อาจกระทบภาคการลงทุน ระบุหากการเมืองระหว่างประเทศยังไม่บานปลาย ไม่นำไปสู่การขยายตัวของเงินเฟ้อมากเกินไป คาดเศรษฐกิจจะโตระดับ 3-4% แต่ความท้าทายธุรกิจอสังหาฯยังมีใน 2 เรื่องหลัก หยอด 3 สมาคมอสังหาฯต้องใช้เวทีสัมมนากลั่นกรองให้เกิดอสังหาฯรูปแบบใหม่ คาดประชาชนจะเห็นภาพผลงานรัฐบาล ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนา “อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2022 จากการที่สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมอาคารชุดไทย ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีขึ้นมา   ซึ่งถือเป็นสมาคมหลักของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  เป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ  และนับเป็นปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญ จึงได้มีมาตรการต่างๆ ที่ช่วยเหลือและส่งเสริมตลอดมาอย่างต่อเนื่อง มาโดยตลอดทั้งทางตรงและทางอ้อม

ในการสัมมนาในวันนี้จึงมีความสำคัญ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจในการนำข้อมูลและแง่คิดไปใช้ประโยชน์ เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องซึ่งกันและกัน รวมทั้งสอดคล้องกับภาวการณ์ปัจจุบันและอนาคต เพื่อความก้าวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไป หากมีโอกาสก็จะนำข้อมูลที่ได้จากการจัดสัมมนาครั้งนี้ นำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อใช้ในการวางมาตรการส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

นอกจากนี้นายสุพัฒนพงษ์ ยังได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “นโยบายภาครัฐต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์” ว่า จากการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีความเข้มงวด และส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลก็พยายามสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ และประกาศฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากนโยบายเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตามความมั่นใจในการขยายตัวของจีดีพี จากปี 2563 ที่ติดลบ และเริ่มเป็นบวกในปี 2564 และพบว่าในการขอการส่งเสริมการลงทุน สูงถึง 640,000 กว่าล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือของไทยจากสถาบันชั้นนำของโลกก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และมองว่าในปี 2565 จะมีโอกาสฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเชื่อว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัว และเห็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ในการสร้างรถไฟฟ้าที่ทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนด จะทำให้ธุรกิจอสังหาฯมีความมั่นใจและฟื้นตัวดีขึ้น โอกาสที่จะมีการปิดประเทศก็จะมีน้อยลง

ล่าสุดรัฐบาลก็มีการผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ด้วยระบบ Test & Go คาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา 5-7 ล้านคน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจอสังหาฯได้มากขึ้น เชื่อว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ก็จะเป็นตัวเลขที่มีความมั่นใจในภาคอสังหาฯมากขึ้น แต่สิ่งที่กังวลคือ เงินเฟ้อ จะมีผลต่อภาคการลงทุนของประชาชน ในส่วนนี้รัฐบาลต้องรักษาเสถียรสภาพให้เป็นไปอย่างราบรื่น ดูแลให้อยู่ในกรอบ 3% แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นปัญหาระดับโลก หากมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แต่ยังคงไว้ซึ่งการแข่งขันของประเทศต่อไป และถ้าเหตุการณ์การเมืองระหว่างประเทศยังไม่บานปลาย จะไม่นำไปสู่การขยายตัวของเงินเฟ้อมากเกินไป ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจก็น่าจะโตได้ระดับ 3-4%

โดยปัจจุบันเศรษฐกิจต้องการการฟื้นตัว ดังนั้นก็ต้องพึ่งภาคอสังหาฯ เพื่อให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม ความท้าทายของอสังหาฯ นโยบายของรัฐบาลในอนาคตจะมีการหยิบยกใน 2 เรื่อง ได้แก่

1.ความเป็นกลางในด้านคาร์บอน ในปี พ.ศ.2593  (ค.ศ.2050) ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและต่อภาคอสังหาฯเช่นกัน โดยคนรุ่นใหม่จะมีแนวคิดต่อเรื่องเทคฯและการลดคาร์บอนในอนาคต ดังนั้นที่อยู่อาศัยต้องมีระบบเตรียมพร้อมในเรื่องนี้มากขึ้น

2.รัฐบาลพยายามดึงดูดคนเก่ง ผู้ที่มีฐานะจากต่างประเทศ ให้เข้ามาอยู่พำนักในประเทศไทยระยะยาว ผ่านการให้สิทธิ์ทางวีซ่า 10 ปี แทนที่จะไปพึ่งนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน เพราะเมื่อการท่องเที่ยวมีปัญหา จำนวนนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็จะหายไป เศรษฐกิจในประเทศก็จะได้รับผลกระทบ

“ทั้ง 3 สมาคมอสังหาฯต้องใช้เวทีนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เพื่อกลั่นกรองออกมากให้เป็นรูปแบบในการที่จะทำให้อสังหาฯในรูปแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลาย จะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมระบบนิเวศให้กับภาคธุรกิจ เช่น ระบบขนส่งมวลชนสีต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานของระบบดิจิทัลให้เกิดขึ้น รัฐบาลเตรียมการเรื่องเหล่านี้อย่างเต็มที่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นภาพสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการมาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ได้ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้านี้” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*