ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯรายงานผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์โครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564 พื้นที่ภาคตะวันออก  พบว่า ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขาย 1,087 โครงการ จำนวน 71,831 ยูนิต มูลค่า 238,253 ล้านบาท มีสินค้าเหลือขายรวมทั้งสิ้น 60,480 ยูนิต

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงผลการสำรวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2564 พื้นที่ภาคตะวันออก (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา) พบว่า ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างเสนอขายจำนวน 1,087 โครงการ รวม 71,831 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 238,253 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2563 จำนวนหน่วยลดลง -5.2% มูลค่าลดลง -6.9%

แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 48,898 ยูนิต มูลค่า 138,271 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 22,933 ยูนิต มูลค่า 99,981 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่เปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 7,588 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 5,124 ยูนิต มูลค่า 16,051 ล้านบาท  อาคารชุด 2,464 ยูนิต มูลค่า 6,472 ล้านบาท

ส่งผลให้มีจำนวนสินค้าเหลือขายในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC รวมทั้งสิ้น 60,480 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า -6.8% มีมูลค่าหน่วยเหลือขายรวม 203,892 ล้านบาท

ส่วนหน่วยที่ขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 มีจำนวน 11,351 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4% คิดเป็นมูลค่าขายได้ใหม่จำนวน 34,361 ล้านบาท โดยในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประมาณ 8,348 ยูนิตเพิ่มขึ้น 4.4% มูลค่า 23,145 ล้านบาท ขณะที่อาคารชุดขายได้ใหม่มีจำนวน 3,003 ยูนิต เพิ่มขึ้น 2.7% มูลค่า 11,216 ล้านบาท

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19  การลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในด้านอุปสงค์ และอุปทาน แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สถานการณ์โดยรวมเริ่มกลับเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว ผู้ประกอบการลดการเติมอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ส่งผลให้อัตราดูดซับเริ่มดีขึ้น โครงการเหลือขายลดจำนวนลง”

โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จำนวนหน่วยเหลือขายลดลง -13.2 % ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของหน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดถึง 39.4% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการขายบ้านจัดสรรเป็นหลัก

ตลาดอสังหาฯเมืองชลบุรีเริ่มฟื้นตัว

สำหรับภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดชลบุรี ดร.วิชัยกล่าวว่า มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยรอการขาย ณ ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,393 ยูนิต ลดลงถึง -12%  คิดเป็นมูลค่า 161,747 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 22,567 ยูนิต และอาคารชุด 20,826 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 3,271 ยูนิต  มูลค่า 8,970 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร   1,958 ยูนิต  มูลค่า  5,643   ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสืนค้าทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด 1,248 ยูนิต และอาคารชุด   1,313 ยูนิต มูลค่า   3,327ล้านบาท

ขณะที่จำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาด มีจำนวน 3,271 ยูนิตลดลงมากถึง -48.8% มูลค่า 8,970 ล้านบาท ส่วนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 6,531 ยูนิต มูลค่าการขายได้ใหม่ลดดลงถึง– 7.9 คิดเป็นมูลค่า 21,410 ล้านบาท

สำหรับทำเลบ้านจัดสรรที่มีสินค้าเปิดตัวมากที่สุด ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมม โดยเฉพาะนิคมฯพานทอง-พนัสนิคม มีจำนวน 3,608 ยูนิต นิคมฯบ่อวินจำนวน 2,823 ยูนิต และนิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 2,642 ยูนิต ส่วนกลุ่มสินค้าที่เปิดขายมากที่สุดจะอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 1.51-5 ล้านบาท มีจำนวนรวมกันกว่า 19,439 ยูนิต

ส่วนทำเลของอาคารชุดที่มีสินค้าเปิดขายมากที่สุดจะอยู่ในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน  1,1,27 ยูนิต และพื้นที่พัทยา-เขาพระตำหนักจำนวน 186 ยูนิต ระดับราคาที่เปิดขายมากที่สุดจะอยู่ในช่วง 2.01-3 ล้านบาทจำนวน 670 ยูนิต

ตลาดอสังหาฯEEC ปี’65 ฟื้นตัวทั้งอุปสงค์-อุปทาน

สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565 คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงของการฟื้นตัวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยในส่วนของอุปสงค์คาดว่าภาพรวมหน่วยขายได้ใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3% โดยเพิ่มจาก 20,192 ยูนิตในปี 2564 เป็น 21,675 ยูนิตในปี 2565

ส่วนอุปทานคาดว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 51.9% โดยเพิ่มจาก 13,340 ยูนิตในปี 2564 เป็น 20,270 ยูนิตในปี 2565 ขณะที่จำนวนหน่วยเหลือขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2% โดยหน่วยเหลือขายจะเพิ่มขึ้นจาก  60,480 ยูนิตเป็น 61,719 ยูนิตในปี 2565 2.5

ขณะที่ภาพรวมของตลาดอสังหาฯจังหวัดชบุรีในปี 2565 ดร.วิชัยประเมินว่าจะกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนหลังจากตลาดเช้าสู่สภาวะซบเซาต่อเนื่องจากปี 2562 และผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 โดยคาดว่าในปีนี้  จะมีหน่วยเปิดขายใหม่จำนวน 12,513 ยูนิต เพิ่มขึ้น 99.9% คิดเป็นมูลค่า 44,376 ล้านบาท และจะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 13,916 ยูนิตเพิ่มขึ้น 14.8% คิดเป็นมูลค่า 46,494 ล้านบาท ส่วนหน่วยเหลือขายจะเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้นประมาณ40,901 ยูนิต เพิ่มขึ้น 11% คิดเป็นมูลค่า 142,436 ล้านบาท

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*