สิงห์ เอสเตทฯ ประกาศแผน 5 ปี (2565-2569) ทุ่มงบลงทุน 50,000 ล้านบาท เร่งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รับเมกะเทรนด์ สร้าง Synergy 4 กลุ่มธุรกิจ เชื่อมพันธมิตรเสริมแกร่ง หนุนการเติบโต ตั้งเป้า CAGR เติบโตประมาณ 25% ต่อปี เผยปี 65 จ่อผุดบ้านหรูย่านพัฒนาการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรมตั้งเป้าโตก้าวกระโดด 88% ดันรายได้แตะ 8,500 ล้านบาท ด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม คาดโอนที่ดินได้ประมาณ 15% ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้แตะ 13,400 ล้านบาท
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ S  เปิดเผยว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ในปี 2564 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งธุรกิจอสังหาฯที่มีการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการแนวราบยังมีความแข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ที่ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจโรงแรม ปีที่ผ่านมาได้เข้าลงทุนในอังกฤษ 100% จากที่ผ่านมาลงทุนไปเพียง 50%เพื่อกระจายความเสี่ยงในธุรกิจ ,อาคารสำนักงาน ถือว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” มีผู้เช่าสูงถึง 95% และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม-สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ ถือว่าทุกธุรกิจสามารถสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ สิงห์ เอสเตทฯ ใน 5 ปีนี้(2565-2569) จะพุ่งเป้าไปที่การสร้าง Synergy ใน 4 กลุ่มธุรกิจ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท เชื่อมโยงสู่โอกาสและการต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อความแข็งแกร่งให้กับ Portfolio ของบริษัทฯ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

“เพื่อให้ สิงห์ เอสเตท สามารถก้าวไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าของประเทศไทย ที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง เราจึงได้ทำการศึกษาเทรนด์ด้านธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปหลังจากที่เราอยู่กับยุค New Narmal มากว่า 2 ปี และมองเห็นโอกาสและการสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำให้เราสามารถเสริมศักยภาพให้กับพอร์ตธุรกิจของเราในอนาคต ขณะเดียวกัน เราจะใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตของเรา และการเติบโตในครั้งนี้ เราจะไม่เดินคนเดียว การทำงานกับพันธมิตรในธุรกิจร่วมทุนทำให้เห็นถึงผลสำเร็จแบบวงกว้าง เราจึงกำลังอยู่ในระหว่างมองหาโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้กับบริษัทฯ ได้ โดยเราคาดว่าความพยายามดังกล่าว จะผลักดันให้เราสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้าได้ที่ CAGR ประมาณ 25% ต่อปี” นางฐิติมา กล่าว

นางฐิติมา กล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 นี้ บริษัทฯจึงมีแผนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านรายได้และการเงินอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร และการนำทรัพย์เข้ากอง เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME  โดยแผนการดำเนินงานใน 4 ธุรกิจ ในปี 2565 ประกอบด้วย

ธุรกิจที่อยู่อาศัย ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2565  จะเปิดตัวโครงการใหม่ย่านพัฒนาการ ระดับราคาขายอยู่ที่ 50-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทันในปี 2565 นี้ ส่วนโครงการ “ดิ เอส สุขุมวิท 36” ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม “ฮ่องกง แลนด์” ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 65% คาดว่าจะโอนและรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 900 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯพร้อมอยู่ 2 โครงการได้แก่โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The ESSE at Singha Complex) และ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ซึ่งมีมูลค่า Backlog อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ 70% ในปีนี้

ธุรกิจอาคารสำนักงาน โดยเฉพาะโครงการ เอส โอเอซิส” (S OASIS) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพร้อมพื้นที่รีเทลแห่งใหม่ล่าสุดย่านลาดพร้าวด้วยพื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ราว 50% ณ ปีที่เปิดให้บริการ  ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในกลางปีนี้ รวมถึงการกลับมาเปิดตัวอีกครั้งของโครงการ “เอส เมโทร” (S METRO) อาคารสำนักงานหรูย่านพร้อมพงษ์ ขณะนี้ได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายนอก เพื่อตอบโจทย์ผู้เช่าในย่านดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี

ธุรกิจโรงแรม ตั้งเป้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึงประมาณ 88% สร้างรายได้แตะ 8,500 ล้านบาท จากปี 2564 มีรายได้ 4,513 ล้านบาท ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มียอดรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2 อันเป็นผลมาจากกลยุทธ์การทำธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยง (Well-diversified) สะท้อนจากการมีโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตในสหราชอาณาจักรและมัลดีฟส์ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเร่งตัวของภาคการท่องเที่ยวเร็วที่สุดของโลก นอกจากนี้ บริษัทฯได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงการโรงแรมในเครือที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มห้องพักแบบพูลวิลล่าในรีสอร์ทที่ ประเทศมัลดีฟส์เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง ตลอดจนการปรับสมดุลพอร์ตผ่านกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (Asset Rotation) ที่จะยกระดับการให้บริการรวมถึงอัตราห้องพักต่อวันสูงขึ้นได้ราว 10-20% ซึ่งคาดว่าโรงแรมในเครือที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วเสร็จ จะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ถึงกว่า 40% โดยปราศจากการใส่เงินลงทุนเพิ่มเติม

ปัจจุบันมีธุรกิจอยู่ใน 5 ประเทศ คือ ไทย มีจำนวน  4 แห่ง แต่หยุดให้บริการไป 1 แห่ง คาดว่าธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3/2565 นี้ ส่วนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศได้แก่  อังกฤษ ,มัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพักสูงมาก , ฟิจิ และ มอริเชียส

ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีพื้นที่รวมกว่า 2,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ขายประมาณ 50% หรือประมาณ 992 ไร่  โดยในปี 2565 มีความพร้อมในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดินเป็นปีแรก หลังจากที่ได้มีการเข้าไปลงทุนและปรับพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วในปี 2564 ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ประมาณ 15% ของพื้นที่ขายนิคมอุตสาหกรรมโดยรวม

ส่วนการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจนั้น ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตทฯ ได้มีการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อขยายศักยภาพในการลงทุนและการพัฒนาโครงการในทุกพอร์ตธุรกิจ อาทิ ารร่วมทุนกับ “ฮ่องกง แลนด์” เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติ และพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับอัลติเมทลักชัวรี อย่าง ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) มูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท การร่วมทุนกับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ วาย อีโค เวิลด์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด (WEWD) เพื่อพัฒนาโครงการรีสอร์ทแห่งใหม่พร้อมวิลล่าหรู 80 หลัง “โซ/ โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท” (SO/ HOTELS & RESORTS) อัญมณีล่าสุดแห่งมงกุฎ ที่จะเติมเต็มรีสอร์ตระดับ 5 ดาวอีกสองแห่ง สนับสนุนให้โครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” (CROSSROADS MALDIVES) ตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลายได้ในทุกช่วงราคา

นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังวางแผนให้เช่าระยะยาวอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกระดับพรีเมียมของบริษัท 3 อาคาร ประกอบด้วย สิงห์ คอมเพล็กซ์ เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์บริหารจัดการ Portfolio ของบริษัทฯ ที่จะมีการ Recycle capital สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะดันให้ SPRIME ขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน

“ในช่วงปลายปี 2564 สิงห์ เอสเตท ได้เข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยถือหุ้น 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด  ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ และปี 2565 นี้ บริษัทฯ จะสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งด้วยกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งสองโรงจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2566”นางฐิติมา กล่าว

อย่างไรก็ตามในปี 2565 นี้คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากผลงานในปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท อีกเกือบเท่าตัว โดยตั้งเป้าเป็นนิวไฮอยู่ที่ 13,400 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัย 25% ธุรกิจอาคารสำนักงาน 8% ธุรกิจโรงแรม 63% และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและอื่นๆ 4%

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*