เอสซีจีเผยผลประกอบการ ไตรมาส 1/2565 แข็งแกร่ง มีรายได้จากการขาย 152,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส4ปีที่ผ่าน เตรียมพร้อมรับมือต้นทุนพลังงานวัตถุดิบทะยานสูงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ชู 4 กลยุทธ์รุกไว ลุยตลาดโลก 6 ล่าสุดผนึกกำลัง”ซีพลาสต์” จากประเทศโปรตุเกส เพิ่มกำลังผลิตพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง และจับมือไมโครซอฟท์ประยุกต์เทคโนโลยีระดับโลก

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2565 ว่า  มีรายได้จากการขาย 152,494 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนจากยอดขายที่สูงขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ และมีกำไรสำหรับงวด 8,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ส่วนใหญ่มาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของธุรกิจอื่น คือ ธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร

ทั้งนี้หากเทียบผลประกอบการกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 25% เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด ขณะที่กำไรสำหรับงวดลดลง 41% จากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ประกอบกับในช่วงต้นปี 2564 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ดีกว่าปกติจากวิกฤตฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้อุปทานมีอยู่อย่างจำกัด

สำหรับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นเป็นรายได้หลักจากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA)จำนวน  51,388 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของรายได้จากการขายรวม ขณะที่สัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD)คิดเป็น 17% และ Service Solution คิดเป็น 5% ของรายได้จากการขายรวม

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยจำนวน 66,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 44% ของรายได้จากการขายรวม

ทั้งนี้หากแยกผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ตามรายธุรกิจ จะพบว่า ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC มีรายได้จากการขาย 69,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 50,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในภูมิภาคและสินค้ากลุ่มกระเบื้องเซรามิกเพิ่มขึ้น

ขณะที่กลุ่ม SCGP มีรายได้จากการขาย 36,634 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรวมยอดขายของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab และการเติบโตของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Business) ในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค การส่งออกอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง อีกทั้งปริมาณความต้องการและราคาของเยื่อกระดาษที่เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

นายวิโรจน์กล่าวว่า แม้ผลการดำเนินงานของกลุ่มเอสซีจีจะยังคงแข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ต้องเผชิญภาวะต้นทุนสูงขึ้น จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ดังนั้นบริษัทได้เตรียมรับมือกับสภาวะดังกล่าวด้วย 4 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย  การบริหารจัดการธุรกิจเชิงรุก ปรับตัวไวพร้อมความยืดหยุ่น ปิดความเสี่ยงจากต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบพุ่งสูง และความไม่แน่นอนที่อาจยืดเยื้อต่อเนื่องใน 3-6 เดือนข้างหน้า

โดยไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา เอสซีจีมีสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF เท่ากับ 16.4% โดยมีการใช้พลังงานชีวมวลสำหรับการผลิตซีเมนต์ในประเทศไทยอยู่ที่ 30.4%,จัดการปริมาณสินค้าคงคลัง (Inventory) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความต้องการ, ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและบริหารห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เป็นต้น

การส่งมอบนวัตกรรมรับเทรนด์ต่างๆ ผ่านนวัตกรรม สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรุกตลาดไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิล“เซอร์คูลาร์ พีพี (Circular PP)” จากเทคโนโลยี Advanced Recycling มีคุณสมบัติเทียบเท่าเม็ดพลาสติกใหม่ เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร “SCG Solar Roof ระบบ Hybrid” ระบบหลังคาโซลาร์ เทคโนโลยีระบบไฮบริด มีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าให้สามารถใช้ไฟได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วยประหยัดสูงสุดถึง 60%

รวมถึงเดินหน้าลงทุนรับโอกาสตลาดโลกโต โดย SCGC ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อระดมทุนเดินหน้าขยายธุรกิจศักยภาพสูง สร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน ส่วนงานด้านโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วตามแผน 93% คาดว่าจะดำเนินการด้านการผลิตและการขายในครึ่งแรกของปี 2566

นอกจากนี้ SCGC ยังได้ปิดดีลซื้อหุ้นกว่า 70% ของบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลประเทศโปรตุเกส เพื่อผนึกกำลังเพิ่มกำลังการผลิตด้านพลาสติกรีไซเคิล

เร่ง ESG (Environmental, Social, Governance) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 และลดลงอย่างน้อย 20% ในปี 2573 (จากปีฐาน 2563) รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมรักษ์โลก โดยสินค้าฉลาก SCG Green Choice มียอดขายในไตรมาสแรกที่ผ่านมาสูงถึง 77,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 51% ของยอดขายรวม

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*