พฤกษาฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯหลังวิกฤติโควิด-19 ผู้ประกอบการหันแข่งเดือดบ้านแนวราบตามพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เร่งพัฒนาสินค้าตอบโจทย์เพิ่มขีดการแข่งขัน ส่วนคอนโดฯคาดเริ่มกลับมาฟื้นตัวภายใน 1-2 ปี ระบุวัสดุก่อสร้างปรับตัวขึ้น 2-3% ยังรับมือได้ สามารถตรึงราคาขายได้ถึงปลายปี65 ไตรมาส 2 จ่อเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท  มั่นใจสถานะโครงสร้างทางการเงินแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ต่ำ ลุยผสานสร้าง Synergy ระหว่างธุรกิจอสังหาฯเฮลท์แคร์  ขยายโอกาสทางธุรกิจผ่านการสร้างพันธมิตร พร้อมเพิ่มพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย  คาดยอดขายทั้งปีตามเป้า 31,000 ล้านบาท
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันว่า มีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบที่ผู้ประกอบการในตลาดต่างหันมาเน้นการพัฒนาเป็นส่วนใหญ่ จากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทฯจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาสินค้าที่ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของผู้บริโภคในปัจจุบันมากขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมยังมีการชะลอตัว แต่มองว่าอาจจะเห็นการทยอยฟื้นกลับมาในช่วงปี 2566-2577 หลังจากที่คนเริ่มกลับมาทำงานมากขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองที่ใกล้ที่ทำงาน และลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อ ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมจะเริ่มเห็นการทยอยฟื้นตัว แต่อาจจะไม่สามารถกลับไปเหมือนเช่นในอดีต

ด้านราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2-3% ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯยอมรับว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างของบริษัทในบางโครงการ แต่ยังเป็นปัจจัยที่บริษัทยังสามารถรับมือได้ และในปัจจุบันบริษัทยังไม่มีการปรับราคาขายบ้านขึ้น เนื่องจากมองว่าปัจจุบันยังเป็นตลาดของผู้ซื้อ ทำให้บริษัทมองว่าหากขึ้นราคาขายบ้านจะเป็นการตัดโอกาสในการแข่งขันของบริษัท และต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นยังเป็นระดับที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งยังสามารถตรึงราคาขายได้จนถึงปลายปี 2565   และยังเป็นระดับที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ดี ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% แต่หากในอนาคตต้นทุนการก่อสร้างยังปรับเพิ่มต่อเนื่อง บริษัทฯอาจจะมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาขายในบางโครงการ

สำหรับในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการใหม่ อีก 9 โครงการ รวมมูลค่า 5,900 ล้านบาท  แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 8 โครงการและบ้านเดี่ยว 1 โครงการ  ซึ่งการออกแบบโครงการจะอิงจากแนวคิด Tomorrow. Reimagined. ที่ได้ต่อยอดสู่ “พฤกษา ลิฟวิ่ง โซลูชั่น” ตอกย้ำแนวทางการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยใน 3 แกนหลัก ประกอบด้วย เทรนด์สุขภาพ (Health & Wellness) เทรนด์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป (Lifestyle Disruption) และเทรนด์เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development) ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงความใส่ใจของพฤกษาในทุกมิติทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยยังคงรุกตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาบ้านและโครงการมาตรฐานใหม่พร้อมกับใช้เครื่องมือการตลาดดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ครบวงจร สื่อสารตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

และหนึ่งในแกนที่พฤกษาฯให้ความสำคัญ คือ การออกแบบบ้าน “ใส่ใจเพื่อสุขภาพ” ( Healthy Home) ซึ่งทางพฤกษาได้ทีมผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลวิมุต เข้ามาร่วมให้คำปรึกษา แนะนำ ในการออกบ้านในแต่ละโครงการ เพื่อให้การออกแบบบ้านนั้นตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัยเพื่อสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะการออกแบบที่อยู่อาศัยแบบ Universal Design ที่รองรับคนทุกเจนเนอเรชันที่อยู่ร่วมกันในบ้าน เช่น การดีไซน์ประตูขนาดใหญ่เผื่อพื้นที่ไว้รองรับการเข้าออกด้วยรถเข็น  บันไดลูกนอนขนาดกว้างขึ้น ช่วยให้ขึ้น-ลงได้สะดวก พื้นภายในดีไซน์เป็นทางเรียบ (Non Step Floor) หมดห่วงเรื่องเดินสะดุดและการใช้วัสดุพื้นลดแรงกระแทก (Absorbtion Floor) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับเดียวกับญี่ปุ่น ยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุ หรือลดการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กและผู้สูงวัย   รวมทั้งการเลือกใช้โถสุขภัณฑ์ชั้นนำแบบ Senior Ergonomic Design ที่ออกแบบรองรับสรีระผู้สูงอายุ   ยังมีการออกแบบพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาพเป็นสวนหินบำบัด (River Healing Stone) ที่คัดสรรหินแต่ละก้อนอย่างพิถีพิถันและจัดวางให้เหมาะสำหรับการเดินนวดฝ่าเท้า  เป็นต้น

กลยุทธ์ในปีนี้ พฤกษาฯมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลแคร์ โดยมีแผนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed Use ที่จะผสานบริการด้านสุขภาพไว้ในโครงการเดียวกัน รวมถึงมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาเติมเต็มบริการตอบสนองผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด  ในด้านการลงทุนพฤกษาฯได้มีการเพิ่มพอร์ตลงทุนที่หลากหลาย  นอกจากการลงทุนในไทยที่ผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจเรียลเอสเตท และโรงพยาบาล ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการศูนย์สุขภาพแห่งแรกในชุมชนพฤกษา ขนาด 50 เตียง ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการ “พฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน”  ในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะเดียวกันได้มีการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ โดยโรงพยาบาลวิมุตร่วมกับ JAS ASSET ก่อตั้งบริษัท Senera Vimut Health Service ทำโครงการ SENERA Senior Wellness บริเวณถนนคู้บอน เป็นศูนย์เมดิคอล ขนาด 5,713 ตารางเมตร 4 ชั้น ขนาด 78 เตียง มีแผนเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมนี้

นอกจากนี้ยังได้มีการลงทุนทั้งในไทย ออสเตรเลีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยเป็นกลุ่มธุรกิจประเภทนวัตกรรมด้านการพัฒนาความยั่งยืน (ESG Innovation) ระบบความปลอดภัยในโลกดิจิทัล(Digital Securities) และ เฮลท์เทค พร็อพเทค  ที่รองรับกระแสเทรนด์ที่อยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในอนาคต  ในขณะเดียวกันพฤกษาฯเองก็มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น การนำ Value Engineering หรือ วิศวกรรมคุณค่ามาใช้ ด้วยการนำวัสดุทดแทนที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวัสดุเดิมมาใช้ เป็นการช่วยลดการใช้ซีเมนต์ที่ไม่จำเป็นไปได้มากกว่า 15,000 ตัน  นอกจากนั้นยังมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ระบบจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบ Streamline ช่วยลดชั่วโมงการทำงานไปได้ มากกว่า 10,400 ชั่วโมง และสุดท้ายใช้การบริหารจัดการต้นทุน (Cost Management) เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มากกว่า 460 ล้านบาท หรือ 1.4% ของรายได้

ในฝั่งธุรกิจด้านสุขภาพ โรงพยาบาลวิมุตซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางระดับตติยภูมิ ที่มุ่งให้บริการแบบ New Normal Ecosystem โดยมุ่งเน้นการรักษาแบบบูรณาการองค์รวม ผ่านศูนย์สุขภาพและโมเดลสุขภาพด้วยระบบดิจิทัล เปิดดำเนินงานครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โรงพยาบาลได้สร้างการรับรู้ในแบรนด์และส่งมอบบริการด้านสุขภาพ คุณภาพมาตรฐาน ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยใช้กลยุทธ์เร่งสร้างการเติบโต (Accelerated Growth Strategy) ทำให้ชื่อโรงพยาบาลวิมุตเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศจากการให้บริการเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19  ส่งผลให้ในไตรมาส 1 ธุรกิจโรงพยาบาลวิมุตมีรายได้ 244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาส 4 ปี 2564 และจากการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรและการบริหารจัดการใหม่ของโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ทำให้ธุรกิจด้านสุขภาพได้ส่วนแบ่งกำไรจากผลประกอบการโรงพยาบาลเทพธารินทร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แผนธุรกิจในไตรมาส 2 คาดว่ารายได้หลักจะมาจากการดำเนินงานเต็มรูปแบบของบริการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลและบริการศูนย์ฟื้นฟูดูแลสุขภาพครอบครัวและผู้สูงอายุ (ViMut Wellness Services) ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของพฤกษาฯอย่างต่อเนื่องด้วย

 

สำหรับแนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาส 1/2565 และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่มีปัจจัยหนุนหลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยที่จะมีการทยอยโอนโครงการเข้ามามากในช่วงไตรมาส 2/2565 จำนวน 7 โครงการที่จะทยอยส่งมอบในไตรมาส 2/2565  ซึ่งเลื่อนการส่งมอบมาจากไตรมาส 1/2565  เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทมีปัญหาในด้านการขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ทำให้การก่อสร้างชะลอไป แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ทำให้การก่อสร้างกลับมาเดินหน้า และจะสามารถเริ่มโอนโครงการให้กับลูกค้าที่ซื้อได้ในช่วงไตรมาส 2/2565  มากขึ้น ทั้งโครงการบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดโอนของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดในไตรมาส 2/2565 จากไตรมาส 1/2565  ที่ยอดโอนปรับตัวลงมาที่ 5,670 ล้านบาท แต่บริษัทยังคงเป้าหมายยอดโอนทั้งปีที่  3,300 ล้านบาท และปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 20,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอโอนเข้ามาในปีนี้ราว 18,700 ล้านบาท

ขณะที่ยอดขายในช่วงไตรมาส 2/2565  คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นกลับมา จากที่ยอดขายในไตรมาส 1/2565 หดตัวลงมาที่ 5,340 ล้านบาท เพราะบริษัทมีการเลื่อนเปิดโครงการใหม่ออกไป ส่วนหนึ่งมาจากการรอดูสถานการณ์ของโควิด-19 และในเรื่องการก่อสร้างบ้านที่เผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน พร้อมกับการเดินหน้าทำการตลาดอย่างเข้มข้นในช่วงไตรมาส 2/2565 เพื่อสร้างยอดขายเข้ามาให้กับบริษัท โดยเฉพาะการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ถือว่าบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากการที่มีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มเข้ามาเป็น 86.7% หรือสร้างยอดขายได้มูลค่า 5,340 ล้านบาท พร้อมการออกแคมเปญกระตุ้นการซื้ออย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/2565  และยังมั่นใจทำยอดขายได้ตามเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้  31,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาลวิมุตในช่วงไตรมาส 2/2565 ยังเห็นทิศทางการเติบโตของรายได้เข้ามาอย่างโดดเด่นมากกว่าไตรมาส 1/2565  ที่มีรายได้ 244 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการดำเนินงานเต็มรูปแบบของบริการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลและบริการศูนย์ฟื้นฟูดูแลสุขภาพครอบครัวและผู้สูงอายุ (ViMut Wellness Services) ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของบริษัทต่อเนื่อง ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว และจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลวิมุตยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 รวมถึงโรงพยาบาลเทพธารินทร์ที่เริ่มเห็นรายได้ฟื้นตัวขึ้นมาในไตรมาส 1/2565 แล้วกว่า 100%

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

*